วันศุกร์, ตุลาคม 31, 2551

วันที่ 19 : ผู้หญิงคนนี้ยินดีให้หลอก



Title / เพลง : ผู้หญิงคนนี้ยินดีให้หลอก
ศิลปิน / Artist :เจเน็ตเขียว (Janet)


หลอกเล่นๆ ใช่มั๊ย ได้เลย ยังไง ก็ยอม ให้หลอก
จีบเล่นๆ ใช่มั๊ย เอาเลย ยังไง ก็ได้ ทั้งนั้น
ขอแค่มีสักคน เข้ามา แค่นั้น ฉันก็ พอใจ
ไม่รักจริง ก็ไม่ เป็นรัย ไม่สำคัญ

ก็ยังดีกว่าเหงา คนเดียว วันๆ ไม่เคย มีใคร
ก็ยังดีกว่าช้ำ เรื่อยไป หัวใจ ไม่เคย ใช้งาน
ให้มีใครสักคน หลอกลวง สักครั้ง จะเป็น ไรไป
ดีกว่าปล่อยให้ใจ ต้องเฉาตาย ไปวันๆ

อยากจะบอกให้รู้ ว่าฉัน คนนี้ ยินดี ให้หลอก
มีแต่ใจลวงๆ ให้มา บอกเลย ยังไงก็เอา
ขอแค่เพียงให้ใจ ไม่เหงา บ้างก็พอ
ขอแค่เพียงให้ใจ ไม่เหงา บ้างก็พอ

เจ็บก็ยอมอยู่แล้ว ได้เลย ยังไง ก็คง ไม่ตาย
ปวดก็ยอม อยุ่แล้ว เอาเลย เชิญเลย ถ้าใครอยากหลอก


อยากจะบอกให้รู้ ว่าฉัน คนนี้ ยินดี ให้หลอก
มีแต่ใจลวงๆ ให้มา บอกเลย ยังไงก็เอา
ขอแค่เพียงให้ใจ ไม่เหงา บ้างก็พอ
ขอแค่เพียงให้ใจ ไม่เหงา บ้างก็พอ

เจ็บก็ยอมอยู่แล้ว ได้เลย ยังไง ก็คง ไม่ตาย
ปวดก็ยอม อยุ่แล้ว เอาเลย เชิญเลย ถ้าใครอยากหลอก
อยากจะบอก ให้รู้ ผู้หญิงคนนี้...ยินดีให้หลอก




สังเกตกันบ้างมั๊ยคะว่าทุกวันนี้คนเราไม่ค่อยมียิ้มให้กันเท่าที่ควร ก็เพราะพวกเราต้องเจอปัญหาวิกฤติการณ์เยอะแยะมากมายที่ทำให้คนเราเกิดความเครียด แต่ในเมื่อทุกอย่างก็ต้องเกิด บางอย่างเราไปแก้ไปห้ามไม่ให้เกิดไม่ได้หรอกค่ะ...เมื่อเป็นแบบนี้หนทางเดียว คือ เราต้องยอมรับทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดให้ได้..และหันมายิ้มเป็นกำลังใจให้กันและกันไม่ดีกว่าเหรอคะ...เรื่องนี้เคยลงมาแล้วครั้งหนึ่ง เป็นรื่องราวที่อ่านเจอแล้วนำมาเล่าสู่กันฟังเป็นเรื่องของ " หมู่บ้านยิ้มแย้ม " ซึ่งน่าจะเข้ากับสถานะการณ์เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันที่แตกแยกกันเป็นหลายฝ่าย ขาดความสามัคคีกันเพราะมีคนไม่หวังดีกับประเทศเราสร้างสถานการณ์ต่างๆ นานามาเพื่อให้พวกเราแตกแยกกัน อย่างเห็นๆ อยู่หรือที่เรียกว่า "พวกดื้อด้านอย่างหนา" ก็ว่าได้ที่พยายามสร้างสถานการณ์ให้ดูเลวร้ายยิ่งขึ้น โดยไม่มีจิตสำนึกของความเป็นคน(ดี) หวังแค่ผลประโยชน์ส่วนตนแล้วมาอ้างว่าทำเพื่อประเทศชาติ อยากให้ทุกคนที่หลงผิดได้ลองทบทวนดูการกระทำของคนกลุ่มนี้ให้ดี ตอนนี้อาจไม่เห็นชัด แต่มันก็ค่อยๆ ชัดเจนกับความเห็นแก่ตัวของคนกลุ่มนี้ ถ้าหากไม่มองอะไรในแง่เดียวมากเกินไปนัก จะเห็นสิ่งที่เค้ากระทำนั้นเป็นสิ่งที่หลอกลวงกันอย่างชัดๆ....






มีหมู่บ้านหนึ่งเรียกว่า " หมู่บ้านยิ้มแย้ม " ทุกชีวิตในหมู่บ้านนี้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ไม่มีโจร ไม่มีผู้ร้าย ทุกคนในหมู่บ้านรักใคร่ปรองดองกัน ถ้อยทีถ้อยอาศัย มีแต่รอยยิ้มให้แก่กันและกันตลอดมา จนหมู่บ้านนี้เป็นที่กล่าวขานเลื่องลือไปทั่ว ว่าเป็นหมู่บ้านยิ้มแย้มที่มี่แต่ความสุข



และมีอีกหมู่บ้านหนึ่งเรียกว่า " หมู่บ้านหวาดระแวง " หัวหน้าหมู่บ้านได้ข่าวความน่าอยู่ของหมู่บ้านยิ้มแย้ม จึงต้องการที่จะทำลายรอยยิ้ม ตลอดจนความสุขของคนในหมู่บ้านยิ้มแย้ม หัวหน้าหมู่บ้านหวาดระแวง จึงได้ส่ง " นายยุยง " เข้าไปเป็นกองสอดแนมว่าทำไมคนในหมู่บ้านย้มแย้มจึงมีแต่รอยยิ้มให้แก่กันและกัน และอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขมาโดยตลอดและแผนการต่อไป คือ ทำลายรอยยิ้มของคนในหมู่บ้านยิ้มแย้ม



นายยุยงจึงเข้าไปสอดแนมที่หมู่บ้านยิ้มแย้ม หลังจากนั้นไม่นาน เค้าก็สังเกตเห็นว่า ผู้คนในหมู่บ้ายยิ้มแย้มนั้น เมื่อเจอกัน นอกจากการยิ้มแย้มทักทายกันและกันแล้ว ก็จะมีการมอบ " ตัวยิ้มแย้ม " ให้แก่กันเสมอ




วันหนึ่งนายยุยงได้เห็นชายวัยกลางคนหมู่บ้านยิ้มแย้มคนหนึ่งนั่งอยู่ที่เก้าอี้หน้าบ้าน และได้มีชายหนุ่มคนหนึ่งของหมู่บ้านยิ้มแย้มเดินผ่านมา ทั้งคู่ทักทายและยิ้มแย้มให้แก่กัน และก่อนจากกันยังไม่ลืมที่จะมอบ " ตัวยิ้มแย้ม " ให้แก่กันและกันก่อนกล่าวคำอำลา






หลังจากที่ชายหนุ่มชาวหมู่บ้านยิ้มแย้มเดินผ่านชายวัยกลางคนไปแล้ว นายยุยงก็เดินออกมาประกบชายหนุ่มและพูดกับชายหนุ่มว่า " ท่านรู้จักชายวัยกลางคนผู้นั้นหรือ " นายยุยงเปิดการสนทนา " ไม่หรอกจ๊ะเราไม่รู้จักกันหรอกนะ แต่เราเป็นคนหมู่บ้านเดียวกัน ที่หมู่บ้านยิ้มแย้ม ทุกคน คือ เพื่อน ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม เราปฏิบัติตัวต่อกันอย่างนี้ มาตั้งนมนานแล้วล่ะจ๊ะ " ชายหนุ่มตอบพร้อมกับยิ้มให้อย่างเป็นมิตร จากนั้นก็ส่ง " ตัวยิ้มแย้ม " ให้กับนายยุยง ซึ่งทำตามประเพณีที่ถือปฏิบัติกันมาในหมู่บ้านยิ้มแย้ม " เอ...นี่อะไร " นายยุยงแกล้งถาม " ก็ตัวยิ้มแย้มไงจ๊ะ ตัวยิ้มแย้ม คือ ตัวแทนของความดี และมิตรภาพ ฉันให้น้าจ๊ะ ตัวยิ้มแย้มนี้จะทำให้น้ามีแต่ความสุข และชีวิตก็จะเต็มไปด้วยความสดชื่น น้ารับเอาไว้ซิจ๊ะ " เมื่อได้ฟังดังนั้น นายยุยงก็เริ่มแผนการยุยงของตนทันทีด้วยคำพูดที่ว่า " ถ้าตัวยิ้มแย้ม เป็นจริงอย่างที่เจ้าว่า เจ้าไม่กลัวหรอกหรือว่า การที่เจ้าแจกตัวยิ้มแย้มให้กับทุกคน ที่เจ้าเจอจะทำให้ตัวยิ้มแย้มของเจ้าหมดไป แล้วเมื่อนั้น ความสุข ความสดชื่น ก็จะหายไปจากตัวเจ้า...โอ้...ช่างเป็นเรื่องที่น่ากลัวจริง ๆ ข้าเห็นใจเจ้าเหลือเกินพ่อหนุ่ม "




เมื่อชายหนุ่มชาวหมู่บ้านยิ้มแย้มได้ฟังดังนั้น ก็เริ่มคิดตาม และสีหน้าที่เคยยิ้มแย้มก็กลับหม่นหมองลง เปลี่ยนจากความยิ้มแย้ม เป็นความวิตกกังวล และเดินจากไปโดยไม่ร่ำลา ระหว่างทางชายหน่มได้พบกับหญิงสาวชาวหมู่บ้านยิ้มแย้ม หญิงสาวได้หยุดทักทายและส่งยิ้มให้ชายหนุ่มตามปกติ แต่ชายหนุ่มกลับไม่ยิ้มตอบ และเมื่อหญิงสาวส่งตัวยิ้มแย้มให้ ชายหนุ่มก็รับไว้แล้วพูดว่า " ขอบใจนะจ๊ะ แต่ฉันไม่มีตัวยิ้มแย้มให้กับเธอหรอกนะ เพราะถ้าฉันให้ตัวยิ้มแย้มกับเธอ สักวันหนึ่งตัวยิ้มแย้มก็จะหมดไปจากตัวฉันและเมื่อนั้นชีวิตของฉันก็จะไม่มีความสุขและความสดชื่นในชีวิตของฉันก็จะมลายหายไปด้วย " หญิงสาวได้ฟังก็เริ่มคิดตามคำพูดนั้น แล้วทั้งคู่ก็แยกกันไป ข่าวเรื่องการให้ตัวยิ้มแย้มแก่กันแล้วจะทำให้ตัวยิ้มแย้มที่มีหมดไป และจะทำให้ ความสุข และความสดชื่นในชีวิตแต่ละคนหายไปได้แพร่กระจายไปในหมู่บ้านยิ้มแย้มอย่างรวดเร็ว นับแต่นั้นมาชาวหมู่บ้านยิ้มแย้มก็มีพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป ไม่มีรอยยิ้มให้แก่กัน ไม่มีการทักทายกันเหมือนเช่นเดิม เพราะทุกคนไม่ต้องการเสียตัวยิ้มแย้มให้แก่กัน และถ้าจำเป็นต้องทักทายกัน ก็ไม่มีการแจกตัวยิ้มแย้มให้แก่กันอีกต่อไป เพราะกลัวว่าความสุขและความสดชื่นจะหายไปจากตัวเอง มีผลทำให้ชาวยหมู่บ้านยิ้มแย้มบางคนต้องทำตัวยิ้มแย้มปลอมออกจำหน่าย แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้ดีขึ้น แต่กลับทำให้เหตุการณ์ยิ่งแย่กว่าเดิม เพราะตัวยิ้มแย้มปลอม แตกต่างจากตัวยิ้มแย้มจริง เพราะคนที่ได้ได้ตัวยิ้มแย้มปลอมไป จะมีแต่เสียความรู้สึก และเกิดเป็นความไม่ไว้ใจในกันและกัน ไม่เชื่อถือกันเหมือนแต่ก่อน ตอนนี้หมู่บ้านยิ้มแย้มไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้วไม่ว่าความสุข ความสดชื่น ในชีวิตที่เคยมีให้กันก็เหือดแห้งหายตามไปด้วย หมู่บ้านยิ้มแย้ม ตอนนี้ได้เปลี่ยนชื่อจากหมู่บ้านยิ้มแย้ม ไปเป็นหมู่บ้านหวาดระแวงไปเสียแล้ว!



" นายยุยง " คือ ความหวาดระแวงซึ่งเป็นบ่อเกิดของความไม่ไว้ใจกันและกัน ไม่เชื่อถือกัน และหมายรวมถึงบุคคลที่ชอบทำให้คนเราขาดความเชื่อใจกัน





“ ตัวยิ้มแย้มปลอม ” คือ ตัวแทนของ ความหลอกลวง ความเห็นแก่ตัวและเห็นแก่ได้ การเอารัดเอาเปรียบกันและกัน แล้วเราอยากให้บ้านเรา สังคมเรา ชุมชนเราเป็นแบบไหนคะ สำหรับตัวเองอยากให้สังคมของเราเป็นสังคมของการยิ้มแย้ม เวลาเจอกันก็ยิ้มให้กัน มีความจริงใจให้แก่กัน โดยไม่แยกเพศ ผิวพรรณ วรรณะ อายุ หน้าที่การงาน ฐานะ ให้ถือว่าทุกคนคือ คนไทย ด้วยกัน มีอะไรต้องพึ่งพาอาศัยกัน เหมือนน้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่าอัชฌาสัย ไม่หลอกลวง ไม่เห็นแก่ตัว มีอะไรก็ช่วยเหลือเกื้อกูลกันไปตาม เหมือนสังคมสมัยก่อนอย่างที่พวกเราได้เรียนได้อ่านกันมาว่า ประเทศไทยเราเป็นประเทศของการยิ้ม จนคนทั่วโลกรู้ว่าเมื่อมาประเทศเราต้องได้รับการยิ้มอันดับแรก อย่าให้สิ่งดีๆ แบบนี้หมดไปนะคะ...



จากเรื่องที่เล่านี้สิ่งที่ได้คือ เกลียดเจ้าตัว "ยุยง" ที่เที่ยวยุยงใครต่อใครให้ขาดความรัก ความสามัคคีกัน ทำให้สังคมแตกแยกกันเป็นหลายฝ่ายทำให้ผู้คนขาดความรักซึ่งกันและกันอย่างที่เคยเป็น จนมีผลทำให้เกิดสิ่งเลวร้ายตามมามากมาย จะเห็นได้ว่าเจ้าตัว "ยุยง" เป็นตัวที่เลวชาติ (หมา) เป็นพวกหมาจะเกิดชิงหมาเกิด เกิดมาเพื่อจะเห่าหอน แล้ววิ่งหนีหางจุกตูดไปแอบหลังคนอื่นเพื่อจะกระทำการเลวๆ ต่อไป....ทางที่ดีใครที่ให้พวกนี้คอยแอบ ก็ดันพวกนี้ออกมาอยู่ข้างหน้าบ้าง ให้มันยอมรับความจริงว่าสิ่งที่มันทำเลวร้ายแค่ไหนไม่ใช่ดีแต่คอยแอบอยู่ข้างหลังคนอื่นเพื่อทำการเลวๆ โดยให้คนอื่นตายก่อน เจ็บก่อนแต่พวกมันไม่มีใครสักตัวเป็นอะไรเลย แบบนี้เค้าเรียกว่า หมาลอบกัด ดีแต่เห่าหอน เค้าเผลอก็คอยลอบกัดเค้า หรือเรียกว่าพวกหมาจนตรอกก็ได้ เมื่อจนตรอกแล้วมันก็ตั้งเวที เอ๊ย ตั้งมุมคอยกัดเค้าไปหมดไม่เว้น อยากจะบอกใครที่เชื่อพวกมัน.....ลองคิดให้ดีนะคะ หรือต้องรอให้ทุกสถาบันล่มสลายก่อนถึงจะรู้สึกกัน.....

วันพฤหัสบดี, ตุลาคม 30, 2551

วันที่ 18 : Hello




เพลง: Hello
ศิลปิน: Lionel Richie


I've been alone with you
Inside my mind
And in my dreams I've kissed your lips
A thousand times
I sometimes see you
Pass outside my door

Hello!

Is it me you're looking for?
I can see it in your eyes
I can see it in your smile
You're all I've ever wanted
And my arms are open wide
Because you know just what to say
And you know just what to do
And I want to tell you so much

I love you

I long to see the sunlight in your hair
And tell you time and time again
How much I care
Sometimes I feel my heart will overflow

Hello!

I've just got to let you know
Because I wonder where you are
And I wonder what you do
Are you somewhere feeling lonely?
Or is someone loving you?
Tell me how to win your heart
For I haven't got a clue
But let me start by saying

I love you

Hello!

Is it me you're looking for?
Becuase I wonder where you are
And I wonder what you do
Are you somewhere feeling lonely?
Or is someone loving you?
Tell me how to win your heart
For I haven't got a clue
But let me start by saying

I love you



นั่งฟังเพลง Hello ของ Lionel Richie เป็นสิบรอบได้แล้ว...อืมม....เพราะดีนะ..ความหมายก็ดีเกิดอารมณ์คล้อยตามเพลง...เศร้า...สงสาร...อารมณ์คนแอบรักยังไงไม่รู้...555555....บอกๆ ไปเฮอะถ้าหากแอบรักใครสักคน มีคนๆ นั้นอยู่เต็มหัวใจเมื่อไรแล้วก็บอกๆ ไป...ขึ้นชื่อว่า "ความรัก" ดีหมดล่ะค่ะ .....เพลงทุกเพลงย่อมมีความหมายของเพลงอยู่ในตัวทุกเพลง สำหรับตัวเองชอบฟังเพลงแนวนี้ค่ะ ฟังแล้วกินใจมีความหมาย..เค้าว่ากันว่าหากเรามีดนตรีและเสียงเพลงในหัวใจ ในโลกนี้ก็จะมีแต่เสียงเพลงที่ช่วยกล่อมโลก ที่ทำให้ใครบางคนคลายความทุกข์ในใจได้บ้าง.....ถึงแม้ต่อไปจะไม่มีใคร ๆ อยู่เคียงข้างเลยสักคน แต่อย่างน้อยก็ยังมีเสียงเพลงอยู่ในหัวใจ คอยเป็นเพื่อนที่ดีให้คนๆ นั้นตลอดไป....และมีคนบอกว่า เวลาที่คนเราเศร้า เหงา อกหัก มักจะฟังเพลงที่ลึกซึ้งกินใจบางคนนั่งฟังไปร้องไห้ไปเพราะเข้าถึงอารมณ์ของเพลงซึ่งในทางจิตวิทยาแล้ว ถือว่าดีที่ทำให้คนฟังเพลงได้ปลดปล่อยอารมณ์ลึกๆ ที่กดดันให้ ทุกข์ เศร้า โศก ของตัวเองออกมา

เพลงไม่เคยทำร้ายใคร แต่ก็เคยอ่านข่าวว่าบางเพลงอาจทำให้คนเราคิดทำอะไรที่บ้าๆ ได้ แต่เพลงส่วนมากไม่ใช่เพลงทุกเพลงทำให้เราเกิดความรู้สึกดี เพลงจึงไม่เคยทำร้ายใครก็แล้วทำไมจะต้องทำร้ายตัวเองกับการแค่ฟังเพลงใช่มั๊ยคะ.....จงยืนหยัดสู้โลกต่อไปให้ได้ รู้บ้างมั๊ยว่าโลกนี้ยังมีอะไรอีกเยอะที่เราต้องศึกษาเรียนรู้และเก็บเกี่ยวเพื่อเป็นประสบการณ์...ไว้สำหรับสอนตัวเองและคนอื่นๆ เมื่อผ่านเวลาของความทุกข์ เศร้า โศก ไปแล้วก็จะทำให้เราลุกขึ้นมาหัวเราะได้เหมือนเดิมล่ะค่ะ..แค่ "อดทน"เพียงแค่อย่าให้ความ เศร้าโศก เสียใจ ทำลายตัวและใจเสียก่อนจะถึงวันนั้นก็แล้วกันเนอะ...

ในโลกใบนี้จึงมีบทเพลงมาควบคู่กับความรัก และก็มีบทเพลงรัก กับ บทเพลงที่บอกเลิก ตามมาเช่นกัน...555555.....คนโชคดีเท่านั้นที่สมหวังในความรัก แต่ในโลกนี้มีจริงเหรอ....ในชีวิตคนเราคงไม่มีใครอยากฟังแต่บทเพลงเศร้าตลอดไป...และคงเช่นกันที่ คงไม่มีใครฟังแต่เพลงสุขสนุกสนานได้ตลอดไป เพราะบนโลกใบนี้มีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้เสมอตลอดเวลา...เพียงแต่ต่างกันที่อะไรจะเกิดก่อนและหลัง

นั่นเป็นเพราะชีวิตคนเรามีอะไรมากมายที่ผ่านเข้ามาให้ซึมซับรับรู้แล้วก็ให้เราลืมมันไป ในชีวิตคนเรามีผู้คนมากมายที่ผ่านเข้ามาแล้วผ่านไปมากมาย ที่ทำให้เราต้องรู้จักมักคุ้น แต่ในผู้คนมากมายเหล่านั้น คงมีใครบางคนล่ะ ที่ทำให้เรารู้สึก "ไม่ธรรมดา" ที่จะนึกถึงซึ่งจะเรียกว่าเป็น "ความพิเศษ" ก็ว่าได้อาจเป็นคนที่ให้ "ความรู้สึกดีดี" จากจิตใจที่ดีดี คนที่ให้ "ความอาทร" จากจิตใจที่นึกถึง คนที่ให้ "ความห่วง" จากจิตใจที่เป็นห่วง

การให้เป็นสิ่งที่ดี แต่การให้ที่ดีก็ควรเป็นการให้อย่างมี "สติ" เพราะ "การให้" ไม่ใช่ "การตั้งความหวัง" คือให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนกลับคืนมา การแอบรักใครสักคนก็จึงเป็นสิ่งที่ดีเพราะแค่แอบรัก ไม่ได้หวังที่ให้ใครบางคนมารัก แค่แอบๆ แต่ก็ต้องมีสติในการแอบรัก มีเส้นกำหนดที่ไม่ทำให้ตัวเองเป็นทุกข์ เพราะถ้าเลยเส้น เลยขอบเขตเมื่อไร "ความทุกข์" จะจ่อเข้ามาที่หัวใจคนๆ นั้นทันทีเหมือนกัน เพราะการตั้งความหวังจะทำให้เกิด "การเรียกร้อง" อยากเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ โดยไม่รู้ตัวซึ่งจะทำให้คนๆ นั้นไม่เป็นสุข...

ถ้าหากในใจมีใครสักคนที่ "ไม่ธรรมดา" ไม่ใช่สิ่งที่ผิดเลยที่จะมีกันได้ ถึงแม้ในความเป็นจริงเป็นไปไม่ได้ เพราะทุกคนก็มีคนพิเศษของใจได้กันทุกคนจะมีสักเท่าไรมีไป เพราะหัวใจและความคิดเป็นของเรา มันแค่อยู่ในหัวใจและความคิด ก็เป็นแค่นามธรรม ไม่ได้เป็นรูปธรรมสักหน่อย คนพิเศษที่ทำให้เกิดความรู้สึกนี้ก็มีได้หลายลักษณะ อาจพิเศษในเรื่องนั้น หรืออาจพิเศษในเรื่องนี้ แต่ทุกสิ่งที่ทำจะต้องไม่ทำให้ตัวเอง และคนรอบข้างเกิดความทุกข์ เพราะความคิดและใจเรานำทางไป....

โห...แค่บทเพลงกับเนื้อเพลง เพลงหนึ่งทำให้เราเขียนอะไรๆ ได้มากมายขนาดนี้ ทั้งที่แค่นั่งฟัง...แต่ก็เป็นสิ่งที่น่าคิดสำหรับโลกใบนี้ที่ เมื่อคนเรามีความรัก ก็มักจะเกิดความผูกพัน บางครั้งความผูกพันก็เป็นสิ่งที่ทำให้คนเราเกิดความทุกข์ที่เกิดจากการตัดไม่ขาด...แต่ในความจริง...จงรู้ไว้ว่าความคิดที่ว่า...เราขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่ได้นั้นเมื่อเวลาเปลี่ยนไป.สิ่งที่เราผูกพันในวันนี้ จะเป็นแค่ส่วนหนึ่งที่เติมชีวิตเรา ไม่ใช่..ทั้งหมดของชีวิตเรา...

วันหนึ่ง..หากเรามีโอกาสได้เจอสิ่งที่ถูกใจสิ่งใหม่ ที่เราคิดว่าเราพึงใจ..ปรารถนา..ต้องการ..ขาดไม่ได้ เราก็จะเริ่มผูกพันกับสิ่งใหม่ได้ในเวลาไม่นานนัก... เมื่อเวลาหนึ่งผ่านไป จะสอนเราได้เองว่า.. ความผูกพันกับสิ่งใด ๆ ในช่วงเวลาหนึ่ง จะเป็นความสุขในช่วงเวลานั้น ๆ อย่าได้ไปยึดติด อย่าใช้ชีวิตทั้งชีวิตหลุ่มหลง... คิดเสียว่าเราโชคดีที่มีโอกาสได้ผูกพันกับสิ่งที่เรารัก

ความผูกพัน..ก็เหมือนกับความรัก.. หรืออาจจะเป็นผลพวงที่มาจากความรัก หากเรารักใครคนใดคนหนึ่งมาก เราก็จะรู้สึกว่าผูกพันมาก แต่ความผูกพันที่ว่าไม่ได้หมายถึงการหยุดตัวเอง ไว้กับสิ่งนั้น..เพราะคนทุกคน ย่อมผูกพันกับหลายๆ สิ่ง ซึ่งก็เคยอ่านเจอว่ามีคนเปรียบกับคนเรามีแก้วน้ำอยู่หนึ่งใบ ในยามเช้า..อาจต้องใช้แก้วใบนี้ดื่มนม พออากาศร้อนหน่อย..อาจต้องการน้ำเย็น ๆ บางครั้งที่ไม่สบาย..อาจต้องการน้ำอุ่น ใจเราก็เหมือนกับแก้วน้ำ..ต้องเติมสิ่งต่าง ๆ ในเวลาที่แตกต่างกัน...ตามความเหมาะสม.. หากเราเติมน้ำเย็นลงไปในแก้วน้ำ แล้วเติมน้ำร้อนลงไปในทันทีในแก้วใบเดียวกัน.. ก็จะพบว่า..แก้วใบนั้น..ก็จะร้าว..แล้วเริ่มแตก ซึ่งก็เหมือนกับใจเรา.. ความผูกพันต่อสิ่งหนึ่งสิ่งใดในช่วงเวลาหนึ่ง..ไม่ผิด ถ้าเราค่อย ๆ ปรับใจ ปรับตัวของเราเอง ให้กลับคืนในเวลาที่ควร เพราะอย่างน้อยที่สุด..เราก็มีโอกาส..ได้ผูกพัน... ซึ่งก็เหมือนเราได้มีโอกาส..ได้รัก นั่นเอง

ถ้าคุณมีความสุขที่เห็นเค้าเดินกับคนอื่น
คือ........ความรัก

ถ้าคุณเศร้า เหงา คิดถึงเค้าอยากเจอ พูดคุย
คือ.........ความรัก

ถ้าคุณร้อนรนที่เค้าอยู่กับใคร ๆ ที่ไม่ใช่คุณ
คือ.........ความใคร่ อยากเก็บไว้เป็นเจ้าของคนเดียว

ถ้าคุณเมามาย เค้าลูบหลังไหล่ ดูแล
คือ.........ความรักที่บริสุทธิใจ

ถ้าคุณเมามาย เค้ากอดและสัมผัสร่างกาย
คือ..........ความใคร่จากเค้าของคุณ

ถ้าคุณเข้าหา แต่เค้าหนี...
คือ......... ความใคร่ ที่หมดเยื่อใยแล้ว

ถ้าคุณหนี แต่เค้าวิ่งตามมา
คือ..........ความรักที่ยังไม่มีจุดจบ

ถ้าคุณร้องให้ ให้กับคนที่ไม่มีเยื่อใยในตัวคุณ
คุณคือคนโง่ และบ้า อย่างน่าอาย

แต่ถ้าคุณพอใจ...จงรัก และ มอบความรัก ให้กับเค้า แม้มันจะไม่กลับมาหาคุณก็ตาม จงดีใจที่ได้รักซะวันนี้.. ดีกว่าที่จะมานั่งเสียใจในวันหน้าจงภูมิใจที่มีความใคร่ เสน่หาในวันนี้ดีกว่าไม่มี เพราะสิ่งเหล่านี้จะไม่มีวันย้อนกลับมาหาอีกต่อไป....

วันพุธ, ตุลาคม 22, 2551

วันที่สิบสี่ : รักสามเศร้า






ต้องการเพลงใหม่ๆ ใช่มั้ย คลิกที่นี่



รักสามเศร้า




นับจากวันนั้น วันที่เธอทิ้ง
ฉันต้องยอมรับความจริง แม้ว่ามันไม่ง่ายเลย
นับจากวันนั้น ฉันก็เจอเขา
เขาที่คอยเช็ดน้ำตา คอยดูแลไม่ห่าง

* อย่าร้อง เขาบอกกับฉันว่าอย่าร้อง
มีเขาทั้งคนจะคอยอยู่ข้างฉัน
และแล้ว และเราทั้งสองก็ได้คบ
และไปด้วยดี ทำไมเธอกลับมาเอาตอนนี้

** คนหนึ่งเขาช่างดีกับฉัน จะทิ้งเขาลงยังไง
คนหนึ่งเคยทิ้งไป แต่รักไม่เคยจางหาย
ฉันไม่ใช่เจ้าหญิงจากไหน ก็คงต้องเลือกซักทาง
ทางที่รักสามเศร้าต้องจบ

นับจากวันนี้ ฉันต้องเข้มแข็ง
ระหว่างคนที่รักเรา หรือว่ารักครั้งก่อน

ซ้ำ *,**,**,**

นั่งฟังเพลงนี้แล้วคิดตามเนื้อเพลง ถึงคนแต่งและคนร้อง เข้าใจว่าการแต่งเพลงแต่ละเพลงของนักแต่งเพลงส่วนมาก ถ้าไม่แต่งตามแนว และความคิดของตัวเองแล้ว ปัจจุบันนี้มักจะแต่งตามคนที่จะนำไปร้อง เพลงนี้ฟังตามเนื้อเพลงแล้วคงหมายถึงคนๆ หนึ่งที่เคยผิดหวังกับความรักครั้งเก่า และตอนนี้มีความรักใหม่เกิดขึ้นแล้ว แต่คนรักเก่าที่จากไปแสนนานหวนกลับมาทำให้ตัดสินใจลำบาก..55555 จริงๆ แล้วไม่เห็นจะลำบากเลย คิดง่ายๆ คนที่ทิ้งเราไป เค้าจะกลับมาด้วยเหตุผลใดก็ตาม แต่อย่างน้อยเค้าก็เคยทิ้งเราไป ในเวลานั้นเราคงเจ็บปวดอยู่คนเดียว คนทำไม่รู้สึก แต่คนที่รู้สึกมักเป็นคนที่ถูกกระทำ เป็นกฏตายตัวของความผิดหวังในความรักเลยล่ะ..แต่อย่างว่า ความรัก ความผูกพัน มักไม่เข้าใครออกใคร โดยเฉพาะคนที่ถูกทิ้งเพราะคนๆ หนึ่ง คงอยากรู้ว่าเค้าทิ้งไปเพราะอะไร เวลาที่เค้าหวนกลับมาก็อยากรู้ หรืออยากหาเหตุผล บางอย่าง...หรืออาจเพราะรักก็ได้ แต่ด้วยเหตุผลอะไรจงจำไว้ว่า ..คนๆ นี้ คือ คนที่เคยทำให้เราเจ็บ...สำหรับตัวเองเป็นคนเจ็บแล้วจำ...มีโอกาสทำได้แค่ครั้งเดียว นอกนั้นไม่ให้โอกาสแล้วค่ะ 555555 ใครจะว่าใจดำก็ตามแต่...คิดถึงได้แต่ไม่กลับคืนค่ะ

นั่งฟังเพลงนี้แล้วก็ยังคงคิดถึงใครบางคน...ที่อยู่ในความทรงจำแม้ทุกวันนี้ก็ไม่เคยลืม สำหรับตัวเองเป็นคนแยกแยะความเลว ความดีออกจากกัน...ความเลวไม่ดีที่เคยมีต่อกัน คิดไปก็ทุกข์ใจกันเปล่าๆ จึงขออยู่กับความทรงจำที่ดี ทำให้รู้สึกดี มีความสุขที่อย่างน้อยเคยมีช่วงวันเวลาที่ดีๆ กับใครบางคน...และไม่จำเป็นที่ใครบางคนนั้นต้องรับรู้ความรู้สึกและความคิดถึงนี้...เพราะต่างคนต่างก็มีวิถีชีวิตเป็นของตัวเอง...ขอแค่ได้คิดถึงก็พอใจแล้ว...

วันนี้ (22 ต.ค 2551) ไปซื้อกระเบื้องเพิ่มเติมกว่าจะถึงร้านก็ปาเข้าไปเกือบสองทุ่มใกล้ร้านปิด ไปแบบลุ้นๆ ว่าจะทันมั๊ยหนอ...รถติดมากมาย...ออกจากบ้านหกโมงได้แล้ว...ระยะทางที่ไปตามปกติไม่ถึง ช.ม ก็ถึงแล้วนี่เกือบสอง ช.ม...เฮ้อ...ประเทศไทย...เมื่อได้กระเบื้องแล้วต้องขนไปที่บ้านใหม่เพื่อให้ช่างทำงานต่อ บรรทุกซะรถหน้าเชิด 5555555 เพราะซื้อไม่ถึงสี่พันบาททางร้านเค้าไม่ส่งให้เลยต้องขนไปเอง...เหนื่อยมาก..จริงๆ กระเบื้องก็หนักมากแค่ 6 กล่องรถยังเชิดขนาดนี้หนำซ้ำไปทางที่ไม่เคยไป คอยลุ้นตลอดเวลาเพราะมีบางช่วงน้ำท่วมค่อนข้างเยอะ เพราะฝนเพิ่งหยุดตกอีกอย่างริมถนนก็เป็นคลองน้ำปริ่มท่วมมาที่ถนน ผ่านถนนนี้คิดไปว่าน่าสงสารคนที่อยู่แถวนี้จัง เปลี่ยวก็เปลี่ยว มืดก็มืด ไฟฟ้าบางช่วงก็ไม่มีถนนก็แคบทั้งที่เป็นถนนใหญ่ ถ้ารถตายแถวนี้แย่เลยเรา .... นี่ละประเทศไทย มีอะไรกำหนดนะว่าถนนเส้นไหนควรทำหรือไม่ควรทำเพราะเท่าที่เห็นถนนทุกสายมีประชาชนเข้าไปอยู่กันเยอะทุกถนนล่ะ ถนนที่ไกลกว่านี้อีกเส้นทำไมเจริญกว่านี้นะ แล้วทำไมเส้นนี้ถึงด้อยพัฒนาเหมือนอยู่ชนบทยังไงยังงั้นทั้งที่อยู่ในเมืองหลวงเหมือนกัน....

ไปถึงบ้านใหม่...เห็นช่างของคนรับต่อเติมบ้านเปิดไฟอยู่บนชั้นสอง...คนที่ไปด้วยเริ่มบ่นว่าทำไมให้คนงานไปนอนบนชั้นสอง แล้วห้องน้ำล่ะเค้าใช้ชั้นไหน...เริ่มปวดหัวตรึบๆ มันจะบ่นทำไมฟระค่ะ ก็เลยตอบเค้าไปว่า...เอาน่ะ...อย่าไปคิดอะไรมาก..ตราบใดที่เรายังไม่เข้าอยู่ ตอนที่เค้าก่อสร้างเราเองก้อไม่รู้ว่าอาจจะมีใครมาใช้นอนก็ได้...อีกอย่างห้องข้างล่างทุกห้อง ของตั้งอยู่เกะกะเพียบและเค้าเองก็บอกเราว่าเค้าจะขอนอนในครัวซึ่งมีทั้งกระเบื้อง สี และของสารพัดตั้งเกะกะอยู่..เค้าเอาลูกซึ่งโตพูดรู้เรื่องแล้วมาด้วย สงสารเด็กที่จะให้นอนในห้องนี้ อีกอย่างคนต่อเติมเค้าก็ขออนุญาตพักที่บ้านเพราะเค้าไม่สามารถรับส่งช่างของเค้าได้ทุกวัน การปูกระเบื้องก็ต้องใช้เวลาหลายวัน คนเราต้องฟังเหตุผลคนอื่นบ้าง ก็เลยอนุญาต อีกอย่างห้องที่อนุญาตก็ไม่ได้เป็นห้องของคนที่บ่นเลย (มันจะบ่นหา...อะไรเนี่ย) เพราะบอกเค้าแล้วว่าอนุญาตเฉพาะห้องนี้ห้องเดียวห้ามไปยุ่งกับห้องอื่นเด็ดขาด...เมื่ออนุญาติแบบนี้เราก็ต้องให้เกียรติเค้า...และอีกอย่างเป็นน้ำใจเล็กๆ น้อยตอบแทนเค้าได้ในการที่ทำให้เค้าทำงานให้บ้านเราสวยงามตามที่เราต้องการด้วย...อย่างนั้นยังมีเสียงเล็ดลอดมาอีกว่า...แล้วน้ำ ไฟ ที่เค้าใช้ล่ะ เค้าใช้ไฟกะน้ำบ้านเรานะเราต้องจ่ายให้เค้า...นะ...เลยบอกเค้าว่า สรุป ใครเป็นคนจ่ายค่าน้ำค่าไฟให้ตอบมา เค้าก็ตอบว่า เรา อ่าว แล้วมันจะบ่นทำไมฟระค่ะ คนจ่ายไม่ได้พูดอะไรสักคำ...555555...

เข้าไปดูการต่อเติม...สวยจัง....ฝีมือเยี่ยม...ทำให้ได้คิดว่าบางทีการไว้ใจกันและกัน การให้เกียรติกันและกันไม่ว่าคนๆ นั้นจะเป็นใครในสังคม เป็นสิ่งจำเป็นและเป็นน้ำใจที่ดีต่อกัน อัชฌาสัยที่มีต่อกันทำให้ทุกอย่างดีหมด..ปล่อยให้ช่างแสดงฝีมือตามถนัดและชอบ เราแค่บอกความต้องการและปรึกษาในสิ่งที่เราเองไม่ถนัดแล้วสรุปเอาสิ่งที่ดีที่สุดออกมาตามความถนัดของคน...แค่นี้ก็จะได้ในสิ่งที่ทุกคนต้องการโดยเฉพาะเราคนจ่ายเงิน...น้ำใจจึงเป็นสิ่งจำเป็นและสำคัญในสังคมยุคนี้....

วันนี้ปั่นงานให้เสร็จ..ทำงานตัวเองเสร็จแล้ว มีเวลาเหลือก็เลยไปขโมยงานเพื่อนมาทำให้....เพราะอาทิตย์หน้าจะเบี้ยวงานทั้งอาทิตย์...เผื่อเพื่อนจะได้ทำในส่วนของเราในเวลาที่เราไม่อยู่...พองานใกล้เสร็จฝนก็เทมาเหมือนฟ้ารั่ว...เพื่อนบอก ใครนัดฝนไว้เหรอพอถึงเวลามาแบบนี้ทุกทีสิน่า...กลับมานั่งอ่านเวปได้เห็นคนเขียนถึงอภินิหารบุญญาธิการของในหลวงที่ทรงเสด็จไปทอดกฐินน่าจะเป็นวัดบวรฯ ถ้าจำไม่ผิดบอกว่าพระองค์เสด็จไปตามเวลาทั้งที่ฝนกำลังตก แต่พอท่านเสด็จถึงวัดบวรฯ ฝนหยุดตกทันที มีลมพัดโชยให้เย็นชื่นใจ เหมือนฟ้าฝนจะเปิดทางให้กับพระองค์ท่าน...ทั้งที่ไม่น่าจะหยุดกระทันหันแบบนั้น...ขอให้พระองค์ทรงพระเจริญค่ะ...พูดถึงเรื่องนี้นึกถึงเรื่องการแตกแยกอีกแล้ว...อย่าแตกแยกกันเลยค่ะใครที่ไปรวมกลุ่มกับใครก็กลับถิ่นฐานบ้านช่องได้แล้วนะคะ...ทุกอย่างต้องมีลิมิทกันบ้าง...อยู่ในขอบเขตที่สังคมส่วนใหญ่ยอมรับด้วย..อย่ายึด หรือ ติดยึด กับสิ่งที่เราไม่ได้กำมาตอนที่เราเกิด ปล่อยวางบ้างเพื่อประเทศ เพื่อสังคม เศรษฐกิจ อย่าทำให้ย่อยยับไปมากกว่านี้เลยค่ะ พอซะทีเหอะบทบาทแบบนี้...เห็นเสื้อเหลืองแล้วอยากอ๊วกยังไงไม่รู้ค่ะ...เมื่อก่อนของสีแดง เสื้อแดง กางเกงแดงเห็นแล้วอ๊วก เดี่ยวนี้เกิดอาการแบบนี้อีกกับเสื้อเหลืองหรือของที่สีเหลืองจะไม่เลือกซื้อหรือใช้เลยมันเอียนๆ ยังไงไม่รู้ค่ะ (ไม่ได้ว่าใครนะเป็นความรู้สึกเรื่องสีส่วนตัว)

วันที่สิบสาม : อยากฟังคำนั้นตลอดไป




อยากฟังคำนั้นตลอดไป
คริสติน่า อากีล่าร์




ทำไมคุณชอบเอ่ยคำๆนั้น มันทำให้สั่นไปทั้งหัวใจ
ใครเขาว้าวุ่นคุณรู้บ้างไหม ทำไมชอบทำอย่างนั้น

เป็นคำที่บอกออกมาจากใจ หรือแค่มักง่ายพูดไปวันๆ
รู้ไหมว่าโลกมันไหวสะท้าน ทุกครั้งที่ฉันได้ฟัง

อย่างคุณฉันรู้ว่ามันคงไม่ยาก หากจะบอกว่ารักซักร้อยพันครั้ง
แต่ฉันคนนี้ครั้งเดียวที่ได้ฟัง ก็ฝังหัวใจไปแสนนาน

สงสารกันหน่อยหากคุณไม่จริงจัง เกรงใจกันบ้างกับคนช่างฝัน
แต่ถ้าบังเอิญเราฝันตรงกัน ช่วยบอกคำนั้นอีกซักที

เป็นคำที่บอกออกมาจากใจ หรือแค่มักง่ายพูดไปวันๆ
รู้ไหมว่าโลกมันไหวสะท้าน ทุกครั้งที่ฉันได้ฟัง

อย่างคุณฉันรู้ว่ามันคงไม่ยาก หากจะบอกว่ารักซักร้อยพันครั้ง
แต่ฉันคนนี้ครั้งเดียวที่ได้ฟัง ก็ฝังหัวใจไปแสนนาน

สงสารกันหน่อยหากคุณไม่จริงจัง เกรงใจกันบ้างกับคนช่างฝัน
แต่ถ้าบังเอิญเราฝันตรงกัน อยากฟังคำนั้นตลอดไป


วันนี้มาดึกมาก ๆ ไม่ใช่สิเลยเที่ยงคืนแล้วสาเหตุเนื่องจากนอนใกล้เช้ามาหลายคืน วันนี้แบทหมดอย่างรุนแรง ร่วงผลอยไปเองข้าวปลาไม่ได้ทาน รู้ตัวว่าแย่มากๆ แล้วก็วันนี้เองจะน๊อคไปเองขณะที่ไปติดต่อเรื่องโทรศัพท์ให้บ้านใหม่ซึ่งไม่มีเหลือเลยสักเบอร์ คงต้องรอต่อไป หรือไม่ก็ต้องพึ่งบริการของทีโอทีซึ่งตอนนี้ก็ไม่รู้จะมีเหลือหรือไม่...พอกลับมาบ้านเกิดอาการอยากนอนอย่างรุนแรงทั้งที่เพิ่งจะค่ำมืด แต่ร่างกายมันฟ้องว่า..แกต้องพักผ่อนบ้าง..หลับไม่รู้เรื่องรู้ราวตั้งแต่เกือบสองทุ่มได้ คงประมาณนั้น สลบไสลไม่รู้ตัว..แบบหมดสภาพจริงๆ ตื่นมาอีกทีนี่ก็ตีหนึ่งครึ่งเข้าไปแล้ว..555555...มาตักข้าวทาน....จนใครต่อใครตกใจนึกว่าผีชูชกเข้าบ้าน...แต่ก็ทานไม่หมด...เพราะยังเหนื่อย เพลียอยู่ เจ็บคอ ร้อนใน เป็นหวัด อาการผสมกันแบบบอกไม่ถูกรู้แต่ว่าไม่ค่อยสบายตัวเลยวันนี้..ความจริงแล้วเป็นตั้งแต่เมื่อวานแล้ว แต่วันนี้...แย่กว่าเมื่อวาน...โดนดุเลยว่า...เห็นนอนดึกทุกวัน...แบบนี้จะไม่สบายได้อย่างไรกัน...


วันนี้ภาระกิจบรรเทาเบาบางแต่ยังสำเร็จตามความต้องการ คงต้องมะงุมมะงาหราคนเดียวต่อไปในการทำเวปเพจ...วันนี้มีการนำเสนอผลงาน..ยังไม่เข้าท่านัก...แต่เป็นแนวทางที่ดี คงต้องปรับปรุงแก้ไขกันต่อไป คงต้องใช้เวลามากกว่านี้ เป็นเพราะไม่มีเวลาทำเลย จึงมาหักโหมตอนใกล้ๆ แบบนี้ร่างกายก็เลยทรุดโทรมตาม เลยเกิดอาการแย่ๆ ยังไงไม่รู้...ต่อไปจะบริหารเวลาให้ดีกว่านี้..(เตือนตัวเอง)

ตื่นมานั่งทานข้าวไป ตาจ้องคอม หูฟังทีวี...วันก่อนโดนเจ้าตัวเล็กดุ เรื่องนี้ว่า เปิดทีวีทำไมครับไม่เห็นจะดูเลย เปลือง..แน่ะมันโตที่จะว่าเราได้แล้ว....

ตอนนี้บ้านทำถึงไหนแล้วนะ...ไม่มีเวลาไปดูเลย...ต้องไปซื้อกระเบื้องเพิ่มจากที่เคยซื้อให้ช่างอีกจำนวน 8 กล่องยังไม่มีเวลาเลยทำไงดี...ร่างกายก็อ่อนแอแบบนี้...คนอื่นก็ไม่มีเวลาเหมือนเรานี่ล่ะ แต่ทำไมมาหนักที่เราคนเดียวนะ...ไม่เข้าใจเลย...บ้านของทุกคนไม่ใช่เหรอเนี่ย....น่าเบื่อจังเปลี่ยนเรื่องดีกว่า




จงอย่าไปรู้อะไรในสิ่งที่ใครบางคนไม่อยากให้รู้
จงรู้ในสิ่งที่ควรรู้ สิ่งใดไม่ควรรู้
ก็อย่าไปรู้เลยเพราะจะทำให้ใจเกิดทุกข์เปล่าๆ
ที่สำคัญจงมั่นใจในตัวเอง
คนเราทุกคนมีดีกันอยู่ในตัวตนกันทุกคน
จงเชื่อมั่นว่าเราไม่ด้อยกว่าใคร
แม้วันนี้จะรู้สึกว่าด้อยกว่า...

จงมั่นใจว่าเราไม่เคยแพ้ใคร
ถึงแม้วันนี้จะดูเหมือนพ่ายแพ้
จงมั่นใจว่าเราอยู่ได้
โดยไม่ต้องยึดติดอยู่กับใครคนใดคนหนึ่ง
เพราะตัวเราก็เกิดมาเพียงลำพัง
ไม่ได้มีใครเกิดมาพร้อมเรา
ที่เกิดจากพ่อแม่เดียวกันกับเรา
ในเวลาเดียวกันตอนที่เราเกิด

ฉะนั้นไม่ต้องไปสนใจว่าใคร
จะรักจะชอบจะโกรธหรือเกลียด
ขอให้รู้แต่ว่าเรารัก เราชอบ
เราไม่ได้โกรธ ไม่ได้เกลียดใคร
หรือเราแอบรัก แอบชอบใครสักคน
แล้วทำให้ตัวเราเองมีความรู้สึกดีๆ
มีความสุข ที่อย่างน้อยยังได้รักใครสักคน
ถึงแม้คนๆ นั้นจะไม่รัก ชอบ
หรือสนใจเราเลยก็ตาม

จงเชื่อมั่นในความรัก
ถ้าไม่เชื่อมั่นในความรัก
ก็ไม่สามารถจะรักใครได้
ถ้าหากคุณยังไม่มีความเชื่อมั่นพอ
เพราะความเชื่อมั่นต้องเริ่มจาก
เชื่อมั่นในตัวเองก่อนจะไปเชื่อมั่น
ที่จะรักใครสักคน

มีเรื่องๆ หนึ่งมาให้อ่านเกี่ยวกับความรัก
ที่เกิดขณะที่คิดว่าความรักกำลังจะจากไป

เมื่อความรักกำลังจะจากไป
เราก็มักจะพยายามทำทุกอย่าง
เพื่อฉุดดึงความรักนั้นไว้
จะทำในทุกเรื่อง
ที่คิดว่าตัวเองทำไม่ได้แต่ตอนนี้กลับทำได้...
ยอมแม้เรื่องที่ไม่ควรยอมแต่ก็ยอมให้..
หรือเป็นแม้ในเรื่องที่ตัวเอง
ไม่เคยเป็นแต่ก็ต้องเป็นเพื่อเค้า..
ทำเป็นบอด..มองข้าม ทำเป็นมองไม่เห็น
ในสิ่งที่เค้าไม่อยากให้เห็น
ทำเป็นใบ้ในทุกเรื่อง ที่เค้าไม่อยากให้เราพูดมาก
และทำให้เรียนรู้ว่าความรัก คือ การให้

ถ้าคุณต้องการที่จะได้ความรัก ต้องรู้จักการให้ก่อน
ยิ่งให้ก็ยิ่งได้ เป็นความสุขที่เกิดจากการให้
มิตรภาพก็จะเกิดจากการให้ เป็นมิตรภาพที่ยืนยาว
คิดแต่เพียงว่าเราให้อะไรกับคนอื่นบ้าง
อย่าคิดแต่จะให้คนอื่นให้กับเรา

ความรักบางครั้ง
เราต้องปลดปล่อย และปล่อยวางบ้าง
เพราะเราเองบางทีก็จะรู้สึกอึดอัดได้
ถ้าหากมีใครสักคน มาล่ามเราไว้ติดกับเค้า
ที่สำคัญควรเรียนรู้ บทเรียนของการให้อภัย
และลืมอดีตที่ไม่ดีบางเรื่องทิ้งไป
ให้คิดเสมอว่าไม่มีใครดีหมดและเลวหมด
มนุษย์ย่อมมีทั้งดี และเลวปะปนกันไป
ควรปลดปล่อยความกลัวทุกอย่าง
ที่จะทำให้เกิดเงื่อนไข
และสร้างเงื่อนไขต่างๆ ขึ้นมา
ให้ความยุติธรรมกะคนที่เข้ามา
และตัวเองลดทิฐิมานะบางอย่างลง
ลดเงื่อนไขต่างๆให้น้อยลงจนไม่มีเลย
และให้คิดว่าอดีตที่ผ่านมา
จะไม่มีผลอะไรกับปัจจุบัน
นอกจากเป็นประสบการณ์ที่ดี
และคิดที่จะทำวันนี้ของคนสองคน
ให้อยู่ดีมีความสุข มีความเชื่อมั่นในกันและกัน
และเริ่มต้นใหม่ที่จะทำให้ความรัก
อยู่ยาวนานตราบนานเท่านาน....

จำไว้นะ..(บอกตัวเองค่ะ 5555555)

วันอาทิตย์, ตุลาคม 19, 2551

: มาอีกแล้วความรัก "ข้อคิดดีๆ ของความรัก"




Truly Madly Deeply
Savage Garden

I'll be your dream I'll be your wish I'll be your fantasy. I'll be your hope I'll be your love Be everything that you need. I love you more with every breath Truly madly deeply do.. I will be strong I will be faithful 'Cos I'm counting on a new beginning. A reason for living. A deeper meaning.

I want to stand with you on a mountain.
I want to bathe with you in the sea.
I want to lay like this forever.
Until the sky falls down on me...

And when the stars are shining brightly In the velvet sky, I'll make a wish Send it to heaven
Then make you want to cry.. The tears of joy For all the pleasure and the certainty. That we're surrounded By the comfort and protection of.. The highest power. In lonely hours. The tears devour you..

I want to stand with you on a mountain,
I want to bathe with you in the sea.
I want to lay like this forever.
Until the sky falls down on me...

Bridge Oh can't you see it baby? You don't have to close your eyes
'Cos it's standing right before you. All that you need will surely come...

I'll be your dream I'll be your wish I'll be your fantasy. I'll be your hope I'll be your love
Be everything that you need. I'll love you more with every breath Truly madly deeply do...

I want to stand with you on a mountain,
I want to bathe with you in the sea.

I want to lay like this forever.
Until the sky falls down on me...

I want to stand with you on a mountain,
I want to bathe with you in the sea.
I want to lay like this forever.
Until the sky falls down on me...




เมื่อวาน (เสาร์ที่ 18 ต.ค 2551) ยังคงวิ่งวุ่นเรื่องบ้านขนย้ายของบางอย่าง พวกตู้ครัวแขวนและตู้เคาน์เตอร์และเตาแก๊สไปบ้านใหม่เพื่อให้ช่างได้ปรับครัวหลังบ้านให้เข้ากับเฟอร์นิเจอร์ที่มีอยู่...เลยเหนื่อยตั้งแต่คืนวันศุกร์...ต้องเก็บของในตู้สองใบให้หมดและทำความสะอาดก่อนย้ายไปวางที่ใหม่ (ถ้าไม่ทำคงเอาความเลอะเทะ ไปไว้ที่บ้านใหม่ล่ะ 555555) พูดถึงครัว..ความที่เป็นแม่ครัวชั้นแย่..ก็เลยมี 2 ครัวซะเลยเป็นครัวนอกกับครัวในบ้าน...ครัวในบ้านสำหรับงานเบาๆ ต้องการความสวยงาม แบบผู้หญิงสวยๆ มีไว้โชว์พาไปไหนต่อไหน แต่ไม่ทนต่องานหนัก สำหรับครัวหลังบ้านไว้สำหรับใช้งานหนักเหมือนผู้หญิงมีเสน่ห์ที่หนักเอาเบาสู้นั่นล่ะ...ไม่ใช่อะไรหรอกค่ะ...เสียดายของเก่าน่ะ 5555555...ไม่อยากให้ใครด้วยก็เลยต้องเสียตังค์ทำครัวใหม่อีกห้อง ยังนั่งคิดอยุ่เนี่ยว่าโง่จัง ทำมัยไม่เอาเงินค่าครัวใน 5 หมื่นกว่ามาทำครัวนอกแล้วเอาครัวในทำเป็นห้องทานข้าว เจ็บใจๆๆ ที่คิดไม่ทันสมองแล่นช้าจังเลย...แต่ก็อย่างว่าที่ตัดสินใจเอาครัวในเพราะเป็นความต้องการของคนที่ไปอยู่ด้วย...แบบปลูกบ้านต้องตามใจผู้อยู่ยังไงยังงันล่ะ...

กว่าจะกลับบ้านได้ก็สามทุ่มกว่าได้แล้ว แวะทานข้าวที่ฟูจิพาแม่ไปทานข้าว ขาดคนในบ้านไปคนเดียว..ช่างเหอะคนๆ นี้ไม่ค่อยร่วมสังฆกรรมกับคนอื่นสักเท่าไรอยู่แล้ว....ก่อนไปทานข้าวแวะไปที่ร้านผ้าม่านตกลงแบบและราคาไม่ถูกและไม่แพงถ้าเปรียบเทียบกับที่เคยไปถามร้านที่ตลาดจตุจักรจะถูกกว่ามากๆ เพราะเคยไปถามที่จตุจักรเค้าคิดแบบที่ตกลงในราคา 1500 โห...ถูกกว่าเยอะมากซึ่งผ้าม่านถูกแพงจะคิดตามราคาของผ้า 5 ห้องราคาแตกต่างกันไป สองห้องแรกเป็นห้องรับแขกกับห้องนอนห้องที่หนึ่งใช้ผ้าเหมือนกันคือใช้ผ้าราคาเมตรละ 380 ห้องที่สองใช้ผ้าราคาเท่าไรหว่า...ดูสิ...ไม่รอบคอบ..ไม่เป็นไรกลับไปถามใหม่แต่วันก่อนดูน่าจะเป็น 280 นะ ห้องนอนที่สามกะที่สี่ใช้ผ้าราคา 480 (มันเอาแพงกว่าเพื่อนแบบรสนิยมสูงรายได้ต่ำ..แต่เงินเรา)และราคาก็แตกต่างกันตามแบบที่เลือกอีกว่าเอาแบบไหนใช้ผ้าเท่าไร สรุปผ้าม่านเกือบสองหมื่นได้ส่วนลดมา พันเก้า 555555 ต่อราคาจนร้านผ้าม่านคิดหนักเพราะก่อนได้ลดเค้าลดราคาค่าผ้าให้แล้ว 25% หักคอร้านซะงั้นล่ะ...มีแถมน้ำตะไคร้ กะกล้วยน้ำว้า ด้วยหนำซ้ำยังชวนให้แวะมานั่งคุยที่ร้านบ่อยๆ อีกต่างหาก 555555..... ได้ส่วนลดมา 1900 แต่ไปจ่ายที่ฟูจิ 1500 คนที่ไปด้วยหัวเราะเยาะ (แต่มันกินด้วย) บอกว่าต่อผ้าแทบตายมากินมื้อเดียวหมดแล้ว...เวรกรรม...เหลือ 500 เอง...ก็ยังดีเนอะที่ยังได้กิน..เชอะ...

ความจริงแล้ววันเสาร์นี้ ผู้หมวดคนดีนัดที่จะเจอกัน แต่อย่างที่บอกผู้หมวดว่าช่วงนี้ไม่มีอะไรแน่นอนจะให้บอกว่าว่างวันไหนอยู่ตอนไหนบอกไม่ได้ ชีพจรลงเท้าตลอดต้องไปโน่นไปนี่ ทำโน่นทำนี่ตลอด ตอนนี้หยุดงานบ่อยเพราะวิ่งวุ่นเกี่ยวกับเรื่องบ้านอย่างเดียว...พูดถึงเรื่องงานวันนี้(วันอาทิตย์)ต้องปั่นเวปเพจให้เสร็จ...เฮ้อ...เครียด...แต่ไม่เป็นไรนะคะ ยังรักและคิดถึงกันเหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงค่ะ...ไว้เสร็จงานนี้เมื่อไรค่อยเจอกัน ไปกินไปเที่ยวกันเหมือนเดิมนะคะ...วันนี้ก็เลยเอาข้อคิดดีๆ เกี่ยวกับความรักมาฝากค่ะ

































วันพฤหัสบดี, ตุลาคม 16, 2551

วันที่เก้า : เลือดรักชาติต้องแบบนี้สิ



เพลง: บอกรักกับดาว
ศิลปิน: วิเชียร ตันติพิมลพันธ์


ตอนเช้าฟังข่าว....เพื่อนบ้านอัป....ย์...ที่อยู่ติดกับประเทศเรา ที่พูดและทำ แบบเอาแต่ได้ย่ำยีชายแดนของเรา..คงคิดสินะว่าตอนนี้ประเทศเราขาดความสามัคคี แล้วคิดจะย่ำยี คิดจะทำแบบประวัติศาสตร์ของประเทศมันที่ผ่านมา...คือ เล่นงานพวกเรายามที่พวกเราทะเลาะกันเองและอ่อนแอ...แล้วผลทุกครั้งที่มันทำแบบนี้มันต้องแพ้ภัยตัวเองต้องพ่ายแพ้เราตกเป็นเมืองขึ้น จนในที่สุดเสียชาติให้กับฝรั่งเศสไป...นั่นเพราะ....ความไม่ซื่อสัตย์ ในคำสัญญาและสาบานที่ให้ไว้ยามที่มาขอความช่วยเหลือจากประเทศเรา...ตามหลักพระพุทธศาสนา ทำดีย่อมได้ดี ผีบ้านผีเรือนย่อมคุ้มครอง คนคิดไม่ดี คิดไม่ซื่อ อกตัญญูต่อผู้มีพระคุณต่อแผ่นดินที่ช่วยเหลือมัน ก็ต้องมีอันฉิบหายวายวอดไป...ต้องมีอันเป็นไปสมกับความไม่ดีที่ทำ...รู้จักคนไทยน้อยไปถึงเราจะกัดกันเอง...อุ๊ย..ไม่ใช่ ถึงเราจะผิดใจกันบ้าง..มีการทะเลาะเบาะแว้งกันบ้าง...แต่ถึงที่สุดเราก็ไม่ยอมให้ใครมารุกรานประเทศเราเป็นเด็ดขาด...เพราะเราจะส่งทีมเสื้อเหลือง ที่ประกาศว่ารักชาตินักหนา ผสมกับทีมสีแดงที่ต่อต้านกบฏ ไปเป็นแนวหน้าก่อนอื่นจะแต่งตั้งแม่ทัพเสื้อเหลือง ทั้ง 9 ที่เคยประกาศว่า ทำสงครามเก้าทัพ ที่คอยต่อยตีทำเนียบให้เป็นรูตามฝาตามกำแพงให้ไปต่อยตีตามแนวเขตชายแดน ยึดชายแดนแบบยึดทำเนียบ แล้วชักชวนพี่น้องครับทั้งหลายไปเป็นรั้วเหมือนที่เคยทำมา...เมื่อทำสำเร็จเมื่อไร เมื่อนั้นชาวประชาชีจะเคารพนับถือว่า รักชาติจริงๆ...เชิญเลยค่ะตามอำเภอน้ำใจ...แสดงออกเต็มที่ว่ารักชาติ...คราวนี้คงไม่มีใครว่าได้ค่ะ....พิสูจน์ตัวเองค่ะ...

มาดูประมวลภาพ วีรบุรุษ กู้ชาติ ตัวจริงที่เค้าบอกว่า ไม่ได้ใส่สีเหลือง (ตามข่าวว่าอย่างนั้นไม่ได้เมกขึ้นเอง)ภาพโดย ศิริเกษ หมายสุข และ เกลียวทิพย์ นันทะบัน ผู้สื่อข่าวภูมิภาคมติชน

เป็นภาพข่าวทหารไทยได้รับบาดเจ็บระหว่างปะทะกับทหารกัมพูชา ในพื้นที่ ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ห่างจากปราสาทพระวิหารไปทางด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือประมาณ 2 กิโลเมตร หลังทั้งสองฝ่ายตรึงกำลังคุมเชิงกันมาหลายวัน ฝ่ายไทยบาดเจ็บ 4 นาย ขณะที่ฝ่ายกัมพูชาบาดเจ็บจำนวนมาก





และภาพของกองทัพภาคที่ 2 เคลื่อนกำลังพลและรถถังเข้าตรึงพื้นที่พิพาทบริเวณบ้านภูมิซรอล ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ หลังทหารไทยและกัมพูชา ตั้งกองกำลังคุมเชิงกันอยู่กระทั่งเกิดปะทะกันในที่สุด มีทหารของทั้งสองฝ่ายได้รับบาดเจ็บ


ดูกันซะให้เต็มตานะคะ...แล้วทะเลาะกันต่อไป...เพื่อให้บ้านเมืองเราเสียหายหนักมากกว่านี้...บาดเจ็บล้มตายทั้งที...ให้ดูภาพเหล่านี้เป็นตัวอย่าง...ว่ามีเกียรติมีศักดิ์ศรีเพียงใดไม่ต้องไปร้องแล่แห่กระเฌอบอกใครๆ ว่าตรูข้าเสียสละเพื่อประเทศ ด้วยเลือดรักชาติอย่างเต็มเปี่ยม ดูภาพเหล่านี้ไม่เห็นมีทหารหาญคนไหนออกมาป่าวประกาศ ชักชวนให้ใครต่อไปใครไปร่วมอุดมการณ์จริงบ้างไม่จริงบ้างแล้วปล่อยให้พี่น้องครับต้องตายไปโดย 9 คนอยู่รอดครบทุกคนในทุกครั้งที่เกิดเรื่องราวการสูญเสีย...เราสูญเสียพอแล้วหรือยัง..ไม่ว่าผู้คน ความรู้สึก สูญเสียสิ่งของ เงินทอง ภาษีของชาติที่ควรนำมาพัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้า ดีกว่ามาเสียเวลาเรียกร้องไปวันๆ เพื่ออะไรที่เราเองมองภาพไม่ออกว่าตกลงเค้าทำเพื่ออะไรกันแน่ อ้ายโน่นก็ไม่ อ้ายนี่ก้อไม่ได้ อันโน้นก็ไม่เอา อันนี้ก็ไม่ดี...ลองทบทวนกันใหม่นะคะว่าเกิดมาทั้งที เกิดในผืนแผ่นดิน เป็นคนไทยเต็มตัว ทำอะไรให้ประเทศบ้าง...ถ้าหากคิดว่ายังไม่ได้ทำก็จงอย่าช่วยกันทำลายประเทศให้มากกว่านี้เลยค่ะ...มันเจ็บค่ะ โดยเฉพาะคนเขียน เจ็บมากกับความรู้สึกที่เห็น ได้ยิน ได้รับทุกวันนี้ค่ะ...


เพลงแด่ทหารหาญในสมรภูมิ
ประพันธ์คำร้องและทำนองโดย แมนรัตน์ ศรีกรานนท์
เรียบเรียงเสียงประสานโดย หม่อมหลวงอัศนี ปราโมช
(หญิง)
ดวงดาวสกาวหม่น อัสสุชลสิหลั่งไหล
อาบร่างนักรบไทย ในพนาแสนอาดูร
เจ็บช้ำระกำจิต มิเคยคิดจะสิ้นสูญ
ประวัติศาสตร์จะเทิดทูน วีรกรรมอันอำไพ

(หมู่)

เพื่อนแก้วผู้แกล้วกล้า ทอดกายา ณ แดนไกล
ต้องเหน็บหนาวร้าวฤทัย อย่างโดดเดี่ยว และเดียวดาย
รอบข้างมีร่างเพื่อน นอนกล่นเกลื่อนชีวาวาย
กอดปืนไว้แนบกาย ชีพสาหัสด้วยดัสกร
เพื่อนถูกบุกกระหน่ำ อริล้ำทั่วสิงขร
เพราะห่วงแหนแดนมารดร จึงมอบชีพเป็นชาติพลี
เพื่อนสู้ด้วยมือเปล่า จู่โจมเข้ารุกราวี
กระสุนหมดแต่ยังมี สติมั่นในดวงมาลย์
มิยอมให้ธงชาติใด ปลิวไสวบนทัพฐาน
แม้ร่างจะแหลกราญ แต่ไตรรงค์คงยั่งยืน
ขอเทิดเพื่อนร่วมตาย ด้วยอาลัยสุดจักฝืน
หากช้ำต้องกล้ำกลืน เพื่อหน้าที่อันจีรัง
จำไว้ผู้รุกราน จะต่อต้านสุดกำลัง
หากชีพเราคงยัง ขอแลกชีพกับไพรี
หยาดเลือดทุกหยาดหยด ที่หลั่งรดปฐพี
จะชดใช้ในครานี้ จะต้องปลาตและพินาศไป
จะหาญสู้กับทรชน ผู้คิดปล้นอธิปไตย
ไล่ออกนอกแดนไทย เพื่อวิญญาณทหารเรา

(หญิง)
ขอเชิญทหารกล้า จงนิทรายังที่เนา
หลับเถิดอย่าหมองเศร้า จะปกป้องผองผไท...
(ใครจะคอมเมนท์ความเห็นที่แตกต่างหรือว่าคนเขียนเชิญตามสบายค่ะสิทธิส่วนบุคคลไม่ว่ากัน..ยอมรับได้ค่ะ เพราะถ้าพิมพ์เป็นภาษาไทยมา เราถือว่าเป็นคนไทยด้วยกัน ไม่ว่าความคิดแตกต่างยังไงเราก็รักคนไทยค่ะ)



วันพุธ, ตุลาคม 15, 2551

วันที่แปด : เมื่อไปดูอีติ๋มตายแน่มา
















มีคนบอกและมีคนชวนไปดูหนังอีติ่มตายแน่...บอกว่าสนุกมาก...ก็เลยตามใจคนชวน ผลสนุกจริงๆ สมคำร่ำลือ ฮา ตลอดเรื่อง โดยมีโน๊ต อุดม แต้พาณิชเป็นประกันความตลก และเท่าที่ทราบมาเรื่องนี้โน๊ตลงทุนเขียนบทเองเป็นหนังแนวโรแมนติคคอมิดี้ ที่โน๊ตลงทุนตัดผมและเปลี่ยนสีผมเป็นสีทองทั้งหัว แบบสมกับคนที่อยู่ในพื้นที่พัทยาตามเนื้อเรื่องที่โน๊ตเล่นเป็นนักมวยที่ขึ้นชกโชว์แขกต่างชาติที่มาเที่ยวบาร์ ที่ถนนคนเดินของพัทยา จนตกหลุมรักสาวญุ่ปุ่นที่ชื่อ อิเตมิ (อีติ๋ม) 55555 จึงมีมุขฮามากมายตามมาแม้กระทั่งตอนที่โน๊ตเจ็บตัวเกือบตายก็นั่งกันขำกลิ้งตลอดเวลา...อยากรู้ว่าสนุกยังไงไปดูกันได้ค่ะ...ขอรับรองความสนุก..ช่วยกันอุดหนุนหนังไทยนะคะคนสร้างจะได้มีแรงใจสร้างหนังดีๆ สนุกๆ ให้เราได้ดูกันอีกเยอะๆ


ขณะนั่งเขียนบล๊อกอยู่นี้ ได้ข่าวว่าทหารไทยแถวชายแดนติดเขมรบาดเจ็บถูกกระสุนปืนของฝ่ายกัมพูชา...ช่วยส่งกำลังใจให้ทหารกล้าด้วยค่ะ...แบบนี้สิคะเรียกว่าคนกล้าของประเทศไทยที่ต่อสู้เพื่อปกป้องประเทศ เพื่อแผ่นดินไทยโดยแท้จริง...อย่าทะเลาะกันเองอยู่เลยค่ะ...หันหน้าปรองดองเข้าหากันเหอะค่ะ อย่าให้ประเทศเพื่อนบ้านเห็นพวกเราอ่อนแอเพราะขาดความสามัคคีแล้วคิดจะรุกราน โจมตีตามอำเภอใจแบบที่เขมรทำกับเราเลยค่ะถ้าหากรักประเทศไทยอย่างแท้จริง...ฟังแล้วเศร้า...


วันนี้มีเรื่องตื่นเต้น...ทำกระเป๋าสตางค์ตกในรถ(ตัวเอง) แบบไม่รู้ตัวแล้วไปเดินดูของนึกขึ้นได้ว่าต้องกดเงิน...เลยรู้ว่าไม่มีกระเป๋าสตางค์ในกระเป๋าใบใหญ่ ตกใจแทบแย่...กระเป๋าก็เปิดอ้า...เปิดตั้งแต่เมื่อไรหว่าเนี่ย...คิดทบทวนเป็นการด่วนว่าหลังจากลงจากรถแล้วเดินเบียดผู้คนหรือเปล่า ก็คิดๆๆ เอ..ไม่มีนี่นา แล้วทำไมกระเป๋าเปิดอ้า แล้วกระเป๋าตังค์หายไปไหน คืดไปคิดมา....โดนล้วงกระเป๋าเหรอเนี่ย...ไม่ค่อยแน่ใจ....ต้องหาทางกลับไปที่จอดรถซึ่งจอดไว้ไกลมากเพื่อไปหาที่รถก่อนว่าทำตกไว้ในรถหรือเปล่า พอเปิดประตูได้...เริ่มค้นหา...กระเป๋าตังค์ตกที่เบาะหลังนั่นเองมิหนำซ้ำหมอนยังปิดทับอีก..ดีที่หยิบหมอนออก...ไม่งั้นไม่เห็นแน่นอนเพราะเป็นจุดที่ไม่น่าจะเห็น...เฮ้อ...โล่งอกนึกว่าต้องไปแจ้งความและอายัดบัตรต่างๆ ซะแล้วสินะ...จากเรื่องตื่นเต้นในตอนแรก กลายเป็นเรื่องตลกไปซะฉิบ เหอๆๆ

วันอังคาร, ตุลาคม 14, 2551

วันที่เจ็ด : คำสอนของหลวงพ่อ (14 ต.ค 51)




ฉันเป็นของเธอ
ลีโอ พุฒ


ไปเปิดเจอเวป พูดถึงคำสอนของหลวงพ่อจรัญ ฐิตธมโม ได้พูดถึงวิธีการใช้หนี้ให้พ่อแม่ อ่านแล้วชอบจังก็เลยเอามาให้ผู้หมวดอ่านที่นี่....เป็นคำสอนที่ดีนะคะ เพราะพ่อแม่ถือว่าเป็นพระประจำบ้านที่ลูกทุกคนควรกราบไหว้และนับถือ.....







หลวงพ่อบอกว่าวิธีใช้หนี้พ่อแม่ไม่ยากเลย จงสร้างความดีให้กับตัวเอง และนี่ก็เป็นการใช้หนี้ตัวเอง ตัวเราพ่อให้หัวใจ แม่ให้น้ำเลือดน้ำเหลืองอยู่ในตัวแล้ว จะไปแสวงหาพ่อที่ไหน จะไปแสวงหาแม่ที่ไหน




บางคนรังเกียจแม่ ว่าแก่เฒ่าไม่สวยไม่งาม พอตัวเองแก่ก็เลยถูกลูกหลานรังเกียจ จึงเป็นกงกรรมกงเกวียนยืดเยื้อกันต่อไปอีก พ่อแมเป็นพระอรหันต์ของลูกไม่ต้องไปตามหาพระอรหันต์ที่ไหนหรอกเหลียวมาดูพ่อแมในบ้านบ้าง แล้วจะมีความรู้สึกว่าเราได้ทำความดีตั้งแต่วันนี้แล้วอย่ายืนพูด กับพ่อแม่ อย่าบังอาจกับพ่อแม่พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก พ่อแม่เป็นครูคนแรกของลูกก่อนออกจากบ้านจึงกราบพ่อแม่ 3 หน ที่เท้า


ทุกท่านจงโปรดจำไว้ว่า วันเกิดของลูกคือวันตายของแม่เพราะวันที่ลูกเกิดนั้นแม่บางคนอาจจะต้องเสียชีวิต การออกศึกสงครามก็เป็นการเสี่ยงชีวิต สำหรับคนเป็นพ่อฉันใด การคลอดลูกก็เป็นการเสี่ยงชีวิต คนเป็นแม่ก็ฉันนั้น




ถ้าวันเกิดเลี้ยงเหล้า จดไว้เลยว่าจะอายุสั้น จะบอนทอนอายุสั้นลง น่าจะหันมาสวดมนต์ไหว้พระปฏิบัติให้พ่อแม่ดีกว่า วันเกืดควรมากราบพ่อแม่ มาขอพร รับรองพ่อแม่อวยพรให้ลูกรวย พาพ่อแม่เสี้ยงให้อิ่มก่อนแล้วค่อยเลี้ยงเพื่อนวันเกิดเราอย่าให้แม่ทำกับข้าวเลี้ยงเพื่อนนะเธอจะบาปทำมาหากินไม่ขึ้นใครที่คุณแม่ล่วงลับไปแล้ว ก็ให้หมั่นทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ท่าน และถ้าจะ ทำบุญด้วยการเจริญกรรมฐาน แล้วอุทิศส่วนกุศลไป การทำเช่นนี้ ถือว่าได้บุญมากที่สุด ทั้งฝ่ายผู้ให้และผู้รับผู้ใดก็ตาม ที่คุณแม่ยังมีชีวิตอยู่ ก็ให้กลับไปหาแม่ ไปกราบเท้าขอพรจากท่าน จะได้มั่งมีศรีสุข ส่วนคนที่เคยทำไม่ดีไว้กับท่าน ก็นำเทียนแพไปกราบขออโหสิกรรม ล้างเท้าให้ท่านด้วย เป็นการขอขมาลาโทษ




ขอฝากท่านไว้ไปสอนลูกหลาน อย่าคิดไม่ดีกับพ่อแม่เลย ไม่ต้องถึงกับฆ่าหรอก แค่คิดว่าพ่อแม่เราไม่ดี จะทำมาหากินไม่ขึ้น เจ๊ง ท่านต้องแก้ปัญหาก่อนคือ ถอนคำพูด ไปขอสมาลาโทษเสีย แล้วมาเจริญกรรมฐาน รับรองสำเร็จแน่ มรรคผลเกิดแน่


บางคนลืมพ่อลืมแม่ อย่าลืมนะการเถียงพ่อเถียงแม่ไม่ดี ขอบิณฑบาต สอนลูกหลานอย่าเถียงพ่อเถียงแม่ อย่าคิดไม่ดีกับพ่อกับแม่ ไม่อย่างนั้นจะก้าวหน้าได้อย่างไร ก้าวถอยหลังดำน้ำไม่โผล่ บ้านหนึ่งพ่อมีเมีย ๔ คน เมียหลวงบอกลูกว่าพ่อเจ้าไม่ดี ลูกก็ไปด่าพ่อว่าพ่อ แล้วมาบวชวัดนี้ บวชแล้วเดี๋ยวเป็นโน่นเป็นนี่ จนจะกลายเป็นโรคประสาท นี่แหละบวชก็ไม่ได้ผล หลวงพ่อก็ให้ไปถอนคำพูด และขอสมาลาโทษกับพ่อเขาก่อน แล้วกลับมานั่งกรรมฐานจึงได้ผล ( case นี้ หลวงพ่อจะเตือนผู้เป็นลูกบ่อยๆไม่ให้ว่าพ่อ แต่ให้เป็นเรื่องของแม่ที่จะแก้ปัญหานี้ ซึ่งหลวงพ่อสอนไว้แล้ว : ผู้รวบรวม )


เมื่อเร็วๆนี้ฆ่าพ่อตาย แม่สงสารพามาเจริญกรรมฐาน พอเข้าวัดมันร้อนไปหมด ปวดหัวเข้าไม่ได้นี่เวรกรรมตามสนอง ปิตุฆาต มาตุฆาต ห้ามสวรรค์ ห้ามนิพพาน ทำกรรมฐานไม่ได้แน่นอน ต้องหันรถกลับ นี่เรื่องจริงในวัดนี้ คนที่มีบุญวาสนา จะกตัญญูกับพ่อแม่ คนเถียงพ่อเถียงแม่เอาดีไม่ได้…….. คนไม่พูดกับพ่อแม่ นั่งกรรมฐานร้อยปี ก็ไม่ได้อะไร ? ถ้าไม่ขออโหสิกรรม ขออโหสิกรรม ที่คิดไม่ดีกับพ่อแม่ คิดไม่ดีกับครูบาอาจารย์ คิดไม่ดีกับพี่ๆน้องๆ จะไม่เอาอีกแล้ว เอาน้ำไปขันหนึ่ง เอาดอกมะลิโรย กายกรรมมัง วจีกรรมมัง มโนกรรมมัง โยโทโส อันว่าโทษทัณฑ์ใด ความผิดอันใด ที่ข้าพเจ้าพลั้งเผลอสติไป ด้วยกายก็ดี ด้วยวาจาก็ดี ด้วยใจก็ดี ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ขอให้คุณพ่อคุณแม่ คุณปู่คุณย่า คุณตาคุณยาย คุณพี่คุณน้อง อโหสิกรรมให้ด้วย แล้วเอาน้ำรดมือรดเท้า




นี่แหละท่านทั้งหลายเอ๋ย เป็นหนี้บุญคุณพ่อแม่มากมาย ยังจะไปทวงนาทวงไร่ ทวงตึก มาเป็นของเราอีกหรือ ตัวเองก็พึ่งตัวเองไม่ได้ สอนตัวเองไม่ได้ เป็นคนอัปรีย์จัญไรในโลกมนุษย์ไปทวงหนี้พ่อแม่ พ่อแม่ให้แล้ว (ให้ชีวิต ให้…ให้… ให้….ฯลฯ ) เรียนสำเร็จแล้ว ยังช่วยตัวเองไม่ได้ มีหนี้ติดค้าง รับรองทำมาหากินไม่ขึ้น หนี้บุญคุณอันยิ่งใหญ่ เหลือจะนับประมาณนั้น คือหนี้บุญคุณของบิดามารดา " หนามแหลมใครเสี้ยม มะนาวกลมเกลี้ยงใครไปกลึง " เด็กประถม ๔ พ่อเมาเหล้า เมากัญชาเล่นการพนัน แม่เล่นหวย ปัจจุบัน เป็นดอกเตอร์ อยู่อเมริกา หลวงพ่อสอนครั้งเดียวจำได้ บอกวันเกิด หนูซื้อขนม ๒ ห่อ เรียกพ่อแม่มานั่งคู่กัน แล้วกราบนะลูกนะ แล้วก็บอกพ่อแม่ว่า ความผิดอันใดที่ลูกพลั้งเผลอ ด้วยกาย วาจา ใจ ที่คิดไม่ดีต่อคุณพ่อคุณแม่ ขอให้คุณพ่อคุณแม่อโหสิกรรมให้ แล้วล้างเท้าให้พ่อแม่ ลูกไม่มีสตางค์ ลูกซื้อขนมมา ๒ ห่อ ให้แม่ก่อน ๑ ห่อ เพราะอุ้มท้องมา แล้วจึงให้พ่ออีก ๑ ห่อ ลูกขอปฏิญาณตนว่า ลูกขอเป็นลูกที่ดีของพ่อแม่ แล้วจะเป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ ลูกจะไม่ทำให้พ่อแม่ผิดหวัง พ่อฟังแล้วน้ำตาร่วง สร่างเมา ส่วนแม่ก็ร้องไห้เลยพ่อแม่ ก็ให้สัญญากับลูกเลิกอบายมุขทั้งหมด


ลูกหลานโปรดจำไว้ เมื่อแยกครอบครัว ไปมีสามีภรรยาแล้ว อย่าลืมไปหาพ่อแม่ ถึงวันว่างเมื่อไร ต้องไปหาพ่อแม่ ถึงวันเกิดของลูกหลาน อย่าลืมเอาของไปให้พ่อแม่รับประทาน อย่ากินเหล้า เข้าโฮเต็ล ชื่อที่พ่อแม่ตั้งให้เป็นมงคลนาม ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยน เพราะชื่อเป็นเพียงนามสมมุติแทนตัวเรา อย่างหลวงพ่อชื่อ จรัญ ปู่ตั้งให้ หมอดูบอกเป็นกาลกิณี แต่ทำไมเจริญรุ่งเรือง ขอให้เชื่อพระพุทธเจ้าทำดีได้ดี ของดี ของ ปู่ ย่า ตา ยาย อย่าไปทำลายเลย ของพ่อแม่อย่าไปทำลายนะ หนีได้แน่นอน โยมมีกรรมฐาน มีทรัพย์ มีชื่อเสียง ความรัก บูชาทรัพย์ บูชาชื่อเสียง ความรักของพ่อแม่ได้ เงินจะไหลนองทองจะไหลมา……..




พ่อแม่ให้อะไรเอาไว้ก่อน อย่าไปทำลายเสีย ถึงจะเป็นถ้วยพ่อแม่ให้มา ก็ไว้เป็นที่ระลึกก็ยังดีอย่าเอาไปทิ้งขว้าง ถ้าต้องการเจริญก้าวหน้าขอฝากไว้ด้วย คนเรามี ๒ ก้าว จะก้าวขึ้นหรือก้าวลงดำน้ำไม่โผล่ ก้าวลงมันง่ายดี ก้าวขึ้นมันต้องยาก ของชั่วมันง่าย หลั่งไหลไปตามที่ต่ำ


นี่บอกสอนลูกหลาน ต้องการจะบรรจุงานไม่ต้องไปวิ่งเต้น ดูลูกเสียก่อน กุศลเพียงพอหรือเปล่า ต้องเพิ่มกุศล ตัวอย่างเรียนจบครู สวดมนต์เข้าเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องเป็นครู ทำงานธนาคารก็ได้ บริษัทก็ได้เดี๋ยวมีคนรับ บางรายทั้งสอบทั้งสมัครหลายแห่งไม่เคยเรียกเลย อาตมาให้นั่งกรรมฐาน พอ ๗ วันผ่านไปพวกมาตามให้เข้าไปทำงานแล้ว




โดย พระราชสุทธิญาณมงคล





วันนี้วันออกพรรษา ฝากเพื่อนไปทำบุญมาสบายใจ






เพลง: I Think
ศิลปิน
: Full House

ช่วงนี้งานยุ่งมากๆ วันนี้เป็นวันที่มีการตักบาตรเทโวกัน ถือเป็นวันทำบุญใหญ่เพราะเป็นวันออกพรรษา นัดกับเพื่อนว่าจะไปทำบุญร่วมแก๊งค์กัน ที่วัดใกล้ที่ทำงานที่เคยไปทำบุญกันบ่อยมากเพราะวัดนี้มีหลวงตาที่ชราภาพมากๆ ท่านจำวัดอยู่ที่นี่จะซื้อยาคูลท์ไปถวายท่านเป็นประจำเพราะท่านเดินเไม่สะดวก สงสัยถ้าได้เกิดชาติต่อไปคงได้เจอร่วมแก๊งค์กันทำงานอีกแหงๆ เพราะตักบาตรร่วมกันทำบุญร่วมตุ้กันอีก 5555555.....






ในเมื่อตัวเองไม่ได้ไปและต้องฝากเพื่อนให้เพื่อนเป็นคนแบกไป ก็ต้องแสดงน้ำใจกันหน่อยโดยจัดของลงกระเป๋า เพื่อให้เพื่อนๆ แบกของถวายพระไปสะดวกๆ ต่อไปเพื่อนจะได้เต็มใจแบกไปให้ 55555 แบบหว่านพืชหวังผลค่ะ...กลางวันก็เลยออกไปทานข้าวกับเพื่อนอีกคน...เพื่อนคนนี้จะเก่งเรื่องการเขียนเวปเพจมากๆ ประจบเพื่อนเข้าไว้ เพื่อดึงความรู้เพื่อนออกมา 55555 และแล้วเพื่อนก็ตกหลุมพรางเราทันที รับปากจะถ่ายทอดวิทยายุทธทุกอย่าง แบบให้เราเป็นทายาทอสูร 555555 โดยไม่มีข้อแม้....



กลับมาเจอแก๊งค์ทำบุญ...ทุกครั้งที่ไปทำบุญมา เวลากลับมาจะต้องพูดคำว่า "เอาบุญมาฝาก" แต่วันนี้เพื่อนทุกคนนั่งทานข้าวกันเฉยๆ ก็เลยถามว่าเหนื่อยเหรอ..เพื่อนๆ พยักหน้า บอกคนเยอะมากๆ เราก็บอกว่าแน่ล่ะวันนี้เป็นวันพระใหญ่นี่นะ...คนก็เยอะล่ะ...แล้วเค้าก็หันไปคุยไปทานข้าวกันต่อ...ก็เลยถามเค้าว่า ไม่เอาบุญมาฝากเหรอ...55555...เพื่อนบอก อ้อ..หิวจนลืมเลย...เอาบุญมาฝากนะค๊า....555555...มีทวงบุญด้วยเรา....จะได้บุญมั๊ยคะเนี่ย....



นั่งทำงานตั้งแต่เช้าถึงเย็น ไม่ใช่สิ บ่ายมีประชุมอีกแล้ว...หน้าตาตัวเองคงไม่ค่อยดี..ตาคงลอย...(เพราะคิดโน่น คิดนี่หลายเรื่อง) หัวหน้าเลยไม่กล้ามอบหมายงานที่เร่งด่วนให้ ตอนที่มอบหมายงานก็เริ่มใจไม่ดีเค้าจะมอบให้เราหรือเปล่าน๊อ ถ้ามอบให้อีกคงตายแน่ๆ คงเสียคนแน่ๆ เพราะทำไม่ทัน ไม่เสร็จชัวร์...55555....เหมือนหัวหน้ารู้ความคิด ไม่มอบหมายให้แฮะ...ดีจัง...เพื่อนร่วมงานเริ่มมอง เริ่มเขม่น(มั๊ง)ออกจากห้องประชุมบ่นกันใหญ่ว่าจะเสร็จทันมั๊ยเนี่ย...หันมามองหน้าเรา...ก็เลยบอกไป่ว่า หัวหน้าคงเห็นว่าคนที่เค้าให้เก่งงานน่ะเลยมอบหมายงานให้ คนที่ไม่ได้ทำแสดงว่าคงไม่มีฝีมือ...หน้าเค้าก้เลยมีสีสรรหน่อย...ก็เลยเติมคำพูดไปอีกว่า....มีอะไรให้ช่วยบอกนะ...ยินดี...ถ้าคิดว่าช่วยได้...เค้าก็เลยตอบมาว่า ขอบคุณนะ ไม่เป็นไร งานยุ่งอยู่ไม่ใช่เหรอ...ก็บอก..อืมม...หลายเรื่องทั้งงานทั้งชีวิตล่ะ...อาจเพราะมีบางเรื่องที่ต้องวุ่นวาย หัวหน้าคงเห็นและเข้าใจ คนเราก็มีบ้างล่ะเนอะ



บางครั้งการพูดเป็นน้ำหล่อเลี้ยงหัวใจซึ่งกันและกัน...การพูดดี และมีน้ำใจต่อกันจึงจำเป็นสำหรับสังคมสมัยนี้..ซึ่งเป็นสังคมของการแข่งขัน แก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกัน มีน้ำใจต่อกันเพียงละเล็กละน้อยก็ทำให้สังคมน่าอยู่แล้วจริงมั๊ยเอ่ย...



คำพูดของคนเราเพียงไม่กี่คำ ทำให้คนเรารู้สึกทุกข์ โศรกเศร้า ดีใจ เสียใจ โกรธ ยินดีได้ คำบางคำอาจทำให้ใครบางคนกินไม่ได้นอนไม่หลับ คำบางคำทำให้ใครหลายคนต้องตัดสินใจทำอะไรบางอย่างได้ นั่นเพราะใครคนนั้นยังยึดติดกับคำพูดเพียงไม่กี่คำ...บางที...อาจเป็นเพราะลืมคิดไปว่า..มุมมองในโลกใบนี้มีหลายมุมมองมากมาย...เมื่อเรามองในมุมมองที่เศร้า เจ็บปวดได้ ทำไมเราไม่หันไปมองในอีกมุมหนึ่งที่ตรงข้ามกัน เพราะคนเราไม่เหมือนกัน มีความแตกต่างกันทั้งความคิดและความรู้สึก เส้นแบ่งมุมมอง และเส้นแบ่งของความรู้สึกไม่เท่ากัน ไม่มีอะไรมาขีดเส้นว่าตรงไหนคือความพอดี จึงมีการล้ำเส้นกันในบางครั้ง ถ้าหากล้ำเส้นทางคำพูดและความคิดก็เกิดปัญหาได้...การให้อภัย และความเข้าใจเท่านั้นที่ทำให้มุมมองมาใกล้เคียงกัน



บางครั้ง...ความรักความเข้าใจและความผูกพันที่มีต่อกันก็มีส่วนช่วยทำให้มุมมองที่ไกลกันนั้นแคบลง เคยคลางแคลงใจกันก็หมดสิ้นลงเพราะความรักความเข้าใจกันนั่นเอง การพูดอะไรกันตรงๆ บางทีก็เป็นสิ่งดีถ้าหากพูดกับคนที่เข้าใจกันและรักกัน รุ้จักกันมากๆ รู้นิสัยใจคอว่าอีกฝ่ายเป็นคนพูดจาอะไรตรงๆ ไม่อ้อมค้อม ซึ่งเป็นนิสัยของคนจริงใจมีอะไรก็ไม่คิดจะเก็บงำเอาไว้...ผิดกับคนปากหวาน...ที่พูดฟังแล้วลื่นหู...แต่ใจกลับตรงกันข้ามกับปาก



สักวาหวานอื่นมีหมื่นแสน
ไม่เหมือนแม้นพจมานที่หวานหอม
กลิ่นประเทียบเปรียบดวงพวงพยอม
อาจจะน้อมจิตโน้มด้วยโลมลม

แม้นล้อลามหยามหยาบไม่ปลาบปลื้ม
ดังดูดดื่มบอระเพ็ดต้องเข็ดขม
ผู้ดีไพร่ไม่ประกอบชอบอารมณ์
ใครฟังลมเมินหน้าระอาเอย



ขอบคุณผู้หมวดคนดีนะคะที่ช่วยจำสักวาของท่านสุนทรภู่บทนี้และส่งมาให้ทางเอ็ม...555555.....แบบนี้รักตายเลยค่ะ...

Personlove

วันที่เขียน