วันเสาร์, พฤษภาคม 16, 2552

เมื่อต้องไปทำงานที่ชลบุรี (ฟ้า)

ได้รับคำสั่งให้ไปปฏิบัติงานที่ จ.ชลบุรี 3 วัน 2 คืน ก็ได้ภาพอย่างที่เห็นข้างล่างทั้งหมด ออกจาก กทม. โดยรถตู้ที่ทำงานเกือบบ่ายสอง ถึง จ.ชลบุรีบ่ายสามโมงกว่าเกือบบ่ายสี่โมงเพราะแวะไหว้หลวงพ่อโสธรที่ จ.ฉะเชิงเทราก่อน เป็นประกาศิตของหัวหน้าให้แวะก่อนเข้า จ.ชลบุรี เมื่อสองอาทิตย์ก่อนหน้าก็เพิ่งมาวัดหลวงพ่อโสธร แต่วันนั้นแค่ไปไหว้พระที่องค์จำลองไม่ได้เข้าไปที่โบสถ์ใหญ่ ไม่ได้เตรียมตัวมาเข้าวัด เลยใส่เสื้อไหล่ล้ำโชว์แขนซะ ก็เลยต้องใส่เสื้อคลุมสวมทับอีกทีเป็นเสื้อคลุมสีเขียวตัวใหญ่เบ้อเริ่มเทิ่มสีเขียวปี๋แบบเหมือนเสื้อโรงพยาบาลยังงัยยังงั้นแฮะค่ะ....55555....




ออกจากวัดหลวงพ่อโสธร คนขับก็ตรงดิ่งไปชลบุรีเข้าถนนสายเก่าเพื่อพาไปไหว้ศาลเจ้าหน่าจา ไม่เคยมาที่นี่เลย เพิ่งมาเป็นครั้งแรกเลยตื่นตาตื่นใจเป็นพิเศษมาถึงที่นี่ก็เกือบใกล้ห้าโมงเย็นแล้ว ศาลนี้เค้าปิดเวลา 5 โมงเย็นเป๊ะ เราเดินดูเดินไหว้ไปเจ้าหน้าที่ของศาลก็มาตามปิดไป แต่อย่างนั้นก็ยังได้ภาพมามากมายแต่เอามาลงแค่นี้ล่ะค่ะ แบบว่าขี้เกียจทำและลงเยอะ




ออกจากศาลเจ้าหน่าจาคนขับรถก็พาไปตรงถนนไปอ่างศิลาเลยได้ภาพนู๋เจี๊ยกๆ มาแบบนี้ค่ะ มีเยอะกว่านี้นั่งกันสลอนเต็มพื้นที่ถนนไปหมดแบบไม่กลัวรถชนเอาซะเลย ปรากฏว่ารถต้องหลีกให้นู๋ลิง ส่วนนู๋ลิงก็นั่งทำเป็นทองไม่รู้ร้อน เหมือนจะบอกว่าลองชนสิมีเรื่องจะเอาพวก(ลิง)รุมอะไรแบบนี้ล่ะ....55555....





ผ่านนู๋ลิงทั้งหลายก็ตรงไปบางแสนได้บรรยากาศภาพแบบข้างล่างเนี่ยล่ะค่ะ มืดครึ้มหน่อยเพราะเย็นมากแล้วอากาศก็เลยมัวซัวนิดหน่อย ส่วนมากเวลามาบางแสนจะไปริมหาด นั่งทานอาหารทะเลส้มตำแล้วดูเค้าเล่นน้ำกัน เพราะที่บางแสนคนจะเยอะมาก ชายหาดเลยเต็มไปด้วยร่ม ร้านอาหารพวกส้มตำ และผู้คนที่มาเที่ยวกัน อีกอย่างบางแสนจะอยู่ใกล้ กทม. มากกว่าพัทยาซึ่งต้องไปอีกไกล




มีนัดกับคนเลี้ยงที่ร้านติดดิน เป็นร้านอาหารเล็กๆ อยู่สุดชายหาดบางแสน แต่เป็นร้านที่คนที่อยู่ที่นี่จะรู้จักดีว่าอร่อย บรรยากาศก็น่านั่งเพราะติดริมทะเลเลย ยิ่งนั่งตอนแดดร่มลมตกแล้วได้บรรยากาศอย่างที่เห็น 2 ภาพล่างนี่ล่ะค่ะ




นี่ก็อีกบรรยากาศหนึ่งของทะเลยามพระอาทิตย์กำลังตกดิน ชอบภาพเหล่านี้มากค่ะได้อารมณ์ดีด้วย แต่ถ้าอยู่ในอารมณ์เหงาๆ คิดถึงใครคงได้น้ำตกกันบ้างล่ะนะ




หลังจากอิ่มหนำสำราญแล้วก็ตรงไปศรีราชาเพื่อเข้าที่พักซึ่งจองที่พักไว้ที่ แคนนารี่ เบย์ ลงท้ายด้วยเบย์ คงคิดว่าเห็นอ่าว เว้าๆ แหว่งๆ ริมทะเล สิคะเนี่ย...555555...ส่ายหัวดิ๊กเลยค่ะ...เฮอะ...ไม่มีอ่ะค่ะ...มีแต่ตึก กะตึกล้อมรอบแต่ห้องตัวเองโชคดีตรงที่เห็นทะเลระหว่างมุมตึกกะมุมตึกโผล่มาให้เห็นว่านี่มานอนริมทะเลนะยะ...นิดนึง....นะ...ก็ยังดีล่ะ




ที่นี่เคยเป็นอพาร์ตเมนท์แล้วดัดแปลงมาทำเป็นโรงแรม ค่าที่พักต่อคืนก็ 3500 บาทแต่น่าอยู่มากๆ สำหรับห้องแบบนี้ถือว่าราคาถูก แต่สำหรับข้าราชการแบบเราๆ ถือว่าแพง ก็เลยได้ราคาข้าราชการ คือ 1500 บาทต่อคืน มีพิเศษหลังจากนี้ถ้าอยากมาพักเป็นการส่วนตัวเค้าจะให้ในราคาเดิม คือ 1500 น่าสนแฮะค่ะ..เพราะพักแล้วอบอุ่นเหมือนอยู่บ้านตัวเองยังไงยังงั้นล่ะ




ที่นี่จะเหมือนคอนโด ที่มีห้องนอน 1 ห้อง ห้องน้ำ 1 ห้อง มีเพลนทีน เฟอร์นิเจอร์พร้อม ไม่ว่าโต๊ะทานข้าวขนาด 4 คนนั่ง เครื่องครัวพร้อมถ้าหากใครต้องการจะทำอาหารทานเองเค้าก็มีครัวไว้บริการให้หุงหาอาหารกันเอง มีตู้เย็นสำหรับจุอาหารขนาดใหญ่ มีเครื่องปิ้งขนมปัง เตาอบ เตาแก๊ส เครื่องดูควัน หม้อ กะทะ จานขามแก้วน้ำ บ้านมียังไงที่นี่มีให้แบบนั้นค่ะ...สำหรับตัวเองไม่ได้ใช้เพราะออกไปทานข้างนอกทุกวันกลับมาก็เป็นแบบหนังท้องตึงหนังตาก็หย่อนแล้ว....55555....





ที่นี่ดีอย่างมีทีวีให้ดู 2 เครื่องอยู่ในห้องนอน 1 เครื่อง อยู่ในห้องอเนกประสงค์อีก 1 เครื่องถ้าไปกัน 2 คนก็ไม่ต้องแย่งกันดูต่างคนต่างดูที่ตัวเองชอบไม่เหมือนไปพัก รร. ที่เคยไปมีทีวีเครื่องเดียวต้องถามว่าใครจะดูอะไร ถ้าหากติดละครคนละช่องก็ต้องมีสักคนที่ต้องหลีกทางให้อีกคนล่ะ มันช่างอึดอัดน่าดูเหมือนกัน แต่ที่นี่เค้าทำเหมือนเราอยู่บ้าน อบอุ่นยังไงไม่รู้ค่ะ ตอนเช้าไปชมกับเซลเค้าอมยิ้มแก้มตุ่ยที่เห็นคนที่เข้าพักมีความสุขกับการมาเข้าพักที่นี่...พนักงานที่นี่บริการดี ยิ้มแย้มน่ารักทุกคนไม่ว่าคนทำความสะอาด พนักงานต้อนรับ พนักงานติตต่อ พ่อครัว เซล นอบน้อมเป็นกันเอง เหมือนได้รับการฝึกมาดี...





ชอบถังขยะที่ทำด้วยไม้เป็นกล่องสี่เหลี่ยมมากๆ ตอนแรกสงสัยว่ากล่องอะไรนะทำซะอย่างดี เปิดดูถึงจะถึงบางอ้อ...ถังขยะนี่เอง...สวยนะคะ...





โรงแรมแคนนารี่ เบย์ มีบริการอบซาวด์น่า ฟิตเนส สระว่ายน้ำ มุมกาแฟสดไว้บริการให้ลูกค้าที่มาพักฟรี ทานเท่าไรไม่ว่าจะไปใช้บริการเมื่อไรได้หมด แต่พวกเราไม่มีเวลาเลยสักคนกว่าจะทำงานเสร็จก็เย็นมากแล้ว แล้วก็ต้องไปทานข้าวกว่าจะกลับมาก็ตาปรือแล้ว ก็เลยไม่ได้ไปใช้บริการของโรงแรม





ภาพนี้ไม่มีอะไรหรอกค่ะ เห็นโคมไฟ แสงสวยดีในกล้องก็เลยถ่ายดู แต่รูปออกมาสีสวยดีก็เลยขอเอามาลงไว้หน่อย ก็คือโคมไฟธรรมดาๆ นั่นล่ะ





บรรยากาศ รอบๆ รร. ยามค่ำคืนของคืนวันแรก ยืนมองที่ระเบียงก็เลยลองถ่ายดูด้วยกล้องโซนี่ รุ่นถ่ายง่ายนั่นล่ะก็เลยได้ภาพขะมุกขะมัวแบบนี้ล่ะ แต่ก็สามารถเก็บเป็นที่ระลึกไดเหมือนกันแฮะค่ะ





วิว รร. ตอนเช้าของวันรุ่งขึ้น เป็นตอนกลางวันที่พอจะเห็นอะไรค่อยชัดเจนหน่อย จะเห็นตึกเต็มไปหมด ความเจริญมาถึง จ.ที่อยุ่ใกล้ทะเลมากกว่า จ. ที่อยู่สันดอนไกลห่างทะเล แต่อย่างนั้นใครจะสังเกตบ้างว่าทะเลทางแถบตะวันออก บ้านและตึกจะหนาแน่นมากกว่าทะเลทางใต้นะคะว่ามั๊ยเอ่ย...





หลังเสร็จงานวันรุ่งขึ้นคือวันที่สอง เค้าพาไปเที่ยวที่เกาะลอย ศรีราชา ก็เลยได้วิวแบบภาพนี้มา ได้ไปไหว้เจ้าแม่กวนอิมด้วยล่ะ...และยืนดูทะเลแถบนี้สักพักก็ไปหาอะไรทานที่ร้านอาหารทะเลบางพระ เป็นร้านที่ตั้งอยู่ริมทะเลเช่นกันแต่วันนี้ไม่ได้นั่งสูดลมทะเลเพราะเริ่มมีฝนลงเม็ดปรอยๆ เลยเปลี่ยนมานั่งในห้องแอร์แทน 2 วันนี้ทานอาหารทะเลซะพุงกาง เค้าสั่งข้าวมาให้ทานไม่มีใครได้แตะต้องข้าวเลยสักคน เพราะอิ่มกับอร่อยหมดทุกอย่างค่ะที่ร้านี้ พอๆ กับร้านติดดินที่บางแสน พออิ่มก็เลยเดินออกมาเลาะริมทะเลหน้าร้าน ก็ไม่มีอะไรมีแต่เรือหาปลาที่จอดอยู่ที่ท่า กะคลองที่เป็นที่เก็บเรือประมง





วกกลับมาที่โรงแรมที่พัก...เห็นรูปภาพติดที่ฝาผนังเต็มไปหมด ไม่ว่าห้องนอน ห้องน้ำ ห้องรับแขก หรือหน้าประตูห้อง ไม่เคยเจอห้องพักติดรูปเยอะแยะขนาดนี้ก็เลยถ่ายเก็บไว้เป็นที่ระลึกเหมือนภาพอื่นๆ ค่ะ...





หลังจากปฏิบัติหน้าที่เรียบร้อยก็ได้เวลากลับบ้านของแต่ละคน เดินทางจากชลบุรีไม่มีฝนตกเลยสักเม็ด แต่พอเข้าเขต กทม. ช่วงลาดกระบังเท่านั้นล่ะฝนเริ่มลงเม็ดและค่อยแรงขึ้นๆ พอผ่านลาดกระบังฝนก็เริ่มซาจนไม่มี แต่พอใกล้ที่ทำงานฝนก็เริ่มลงเม็ดอีกจนตกจั๊กๆ เลยล่ะ แย่จังเป็นวันศุกร์ด้วยสิ วันศุกร์ตามปกติรถก็ติดมากอยู่แล้ว นี่รวมฝนตกไปด้วย กทม. เป็นอัมพาตเลยค่ะ...555555....ตอนเดินทางจากชลบุรีไม่เหนื่อยค่ะขอบอก มาเหนื่อยก็ตอนเดินทางใน กทม.นี่ล่ะ...นึกว่ามีรถไฟฟ้าแล่นยาวขึ้นรถจะไม่ติดแล้วเชียวไหนได้ติดแหงกไม่ขยับเลยล่ะ แย่จริงๆๆ ประเทศไทย...โดยเฉพาะ กทม...






Tattoo Colour - ฟ้า . .







Counter
คนน่ารักเข้ามา
เริ่ม 20/3/52



เพลง: ฟ้า
อัลบั้ม: Hong Ser
แทททู คัลเล่อร์



คิดอยู่ ว่าต้อง ทนไว้
จะทุกข์ จะทน เท่าไร
ความรัก จะพา หัวใจไป
คิดเอง ว่าต้อง ทนไว้
แต่ยิ่งทุกข์ ยิ่งทน เท่าไร
ความรัก ที่มี ยิ่งหายไป

จะโทษดิน จะโทษน้ำ
จะโทษเดือน และดาว
กับเรื่องราว ที่ปวดร้าว
ที่เธอ มาทำ แล้วหนีไป

ฟ้า ถ้าไม่ส่งมา ให้เธอ มีใจ
บอกกัน ซักคำ เป็นไร
ว่าเหตุใด ต้องมา ทำร้ายกัน
จากนี้ เรื่องราว ที่มี ก็ให้ลืม มันไป
อย่าจำ ว่าเคย เป็นใคร
ว่ามีใคร ที่เคย ทำร้าย คนอย่างฉัน

ทุกวัน จวบจน วันนี้
ชีวิต ที่เรา ต้องมี
จากนี้ ต้องทำ ตัวเช่นไร
น้ำตา ที่ยัง รินไหล
จากความรัก ที่มี ทั้งใจ
สุดท้าย เค้านั้น หายไป

จะโทษดิน จะโทษน้ำ
จะโทษเดือน และดาว
กับเรื่องราว ที่ปวดร้าว
ที่เธอ มาทำ แล้วหนีไป

ฟ้า ถ้าไม่ส่งมา ให้เธอ มีใจ
บอกกัน ซักคำ เป็นไร
ว่าเหตุใด ต้องมา ทำร้ายกัน
จากนี้ เรื่องราว ที่มี ก็ให้ลืม มันไป
อย่าจำ ว่าเคย เป็นใคร
ว่ามีใคร ที่เคย ทำร้าย
(โนววว) จบกันซักที จบกัน แค่นี้ ไม่มีใคร
มีแต่ฟ้า ที่มองมา เห็นน้ำตา จากนี้ไป

โปรดเถิดฟ้า ถ้าไม่ ส่งมา
ให้เธอ มีใจ ก็บอกกัน ได้ไหม
เหตุใด ต้องมา ทำร้ายกัน
จากนี้ เรื่องราว ที่มี ก็ให้ลืม มันไป
อย่าจำ ได้ไหม ว่ามีใคร ที่เคย ทำร้าย
ว่ามีใคร ที่มา ทำร้าย คนอย่างฉัน



.

วันจันทร์, พฤษภาคม 11, 2552

สนุกสนานกับวันหยุด 4 วัน












หยุดงาน 4 วัน...ได้ไปเที่ยวตลาดน้ำอัมพวา ต้องคลำหาหนทางไปโดยแวะถามคนข้างทางไปตลอดทางเป็นระยะๆ....ก็....ไปอย่างกระทันหัน นึกจะไปก็ชวนกันไปเดี่ยวนั้นเลย ไม่มีเวลาดูถนนหนทางที่ไปในเนท แผนที่การเดินทางไป อยู่ที่ปาก ทำให้รู้ว่า มีคนใจดีมีน้ำใจมากมาย ถามอะไรตอบได้ตรงคำถามหมด..บางคนบอกรายละเอียดได้ชัดเจน ทำให้ไม่หลงหนทางไป..บางคนบอกหนทางสั้นๆ ย่อๆ แต่หนทางกลับไม่สั้นและย่อตามที่บอก ผลหลงค่ะ...55555..แต่ในที่สุดก็คลำทางจนถึงตลาดน้ำอัมพวาจนได้ล่ะ....








นี่คือป้ายบอกทางเป็นระยะๆ แต่น่าเสียดายที่เป็นป้ายบอกทางที่ใกล้จะถึงตลาดน้ำแล้ว ก่อนหน้านั้นต้องเดาตลอดว่าไปทางไหน สำหรับคนไม่เคยไปเลยขอแนะนำให้ออกถนนพระราม 2 แล้วขับตรงไปเรื่อยๆ ผ่านสะพานที่ข้ามแม่น้ำแม่กลองแล้วตรงไปเรื่อยๆ จนเห็นป้ายสมุทรสงคราม-เพชรบุรีก็ไปตามนี้ไม่ต้องเลี้ยวไปไหน ขาไปจะใช้เวลาเยอะมากๆ เพราะมัวหลงและคลำทางกันอยู่ ตลอดระยะทางบนถนนพระราม2 จะเห็นนาเกลือ และร้านข้างทางขายเกลือถุง เป็นระยะๆ









ก่อนถึงตลาดน้ำ ก่อนข้ามสะพานจะเห็นป้ายข้างทางมีข้อความและลูกศรชี้ให้เลี้ยวไปตามถนนจะมีที่จอดรถฟรี...นะใครๆ ก็สนใจของฟรี ก็เลยเลี้ยวไปสิคะกลายเป็นเข้าไปที่วัดบางนางลี่ใหญ่ มีรถขับตามและรถสวนออกหลายคันมาก พอไปถึงก็เลยถึงบางอ้อ...ลานวัดเค้านำมาทำเป็นที่จอดรถ เป็นลานจอดรถฟรีจริงๆ ค่ะ แต่ไม่ถึงตลาดน้ำนะคะ ต้องนั่งเรือและเสียค่าเรือข้ามฟากก่อนไปถึงตลาดน้ำ นั่งขำและนึกภาพในรถแต่ละคันคงคิดเหมือนเราและบ่นเหมือนเราว่า...หลอกให้มานั่งเรือข้ามฟากหรือเปล่าเนี่ย...(อันนี้มองโลกในแง่ร้าย) ถ้ามองโลกในแง่ดีก็คือเค้าหวังดีไม่อยากให้คนมาเที่ยวต้องเปลืองตังค่าที่จอดรถฝั่งตลาดน้ำเพราะต้องเสียค่าฝากรถจอดถ้าเป็นฝั่งที่ใกล้ตลาดเลยจะเสียค่าจอดคันละ 40 บาทกี่ช.ม ก็ได้ แต่ถ้าจอดอีกฝั่งถนนหรือจอดไกลตลาดหน่อยก็ 20-30 บาทนั่งคิดและขำกันในรถว่าพี่น้องแถวนี้มีรายได้โดยการคว้าวิกฤตให้เป็นโอกาส









เมื่อเข้าตัว อ.อัมพวาแล้วจะมีป้ายบอกเส้นทาง โดยไม่ต้องจอดรถถามทางอีกแล้ว...เฮ้อ..









แวะไหว้พระก่อนเข้าพิพิธภัณฑ์ ร.2 และแวะถ่ายรูปปากน้ำที่จะมีเรือหางยาวไว้คอยบริการลูกค้าที่สนใจจะเดินทาง









ขากลับเจอพายุฝน..เพราะมีลมแรงมากขนาดรถที่ฝ่าสายฝนมายังเหมือนรถจะปลิวตามแรงลมเลยค่ะ ไม่ได้เวอร์นะคะรู้สึกแบบนั้นจริงๆ ต้องค่อยๆ ขับมาเรื่อยๆ เพราะถนนนช่วงนี้จะลื่นจนต้องมีป้ายเตือนตลอดเส้นทางว่าให้ระวังฝนตกถนนลื่นอะไรแบบนี้ถ้าดูจากภาพแล้วทัศนวิสัยค่อนข้างไม่ดีเลย..









ที่ตลาดน้ำอัมพวาโชคดีที่ได้ที่จอดรถ ถึงจะแพงไปนิดเสียค่าฝากจอดรถ 40 บาทไม่จำกัดชั่วโมง แต่ก็ใกล้ทางเข้าตลาดน้ำมาก คือเดินทางเข้าตลาดไม่เกิน 20 เมตรก็ถึงทางเข้าและพอเลี้ยวขวาไปประมาณ 10 เมตร ก็ถึงสะพานข้ามคลองไปตลาดน้ำอีกฝั่งและถ้าเดินตรงไปอีกหน่อยก็จะเป็นวัดอัมพวันเพื่อไปอุทยาน ร.2 บนสะพานก็จะเห็นภาพนี้ในคลองเป็นเรือขายอาหารหลากหลายสองฝั่งคลองเลยล่ะได้ถ่ายภาพตรงนี้ได้เท่านี้เพราะคนเยอะเบียดเสียดกันมาก แบบว่ากลัวมัวแต่ถ่ายแล้วจะต้องไปถ่ายในคลองเพราะโดนเบียดอ่ะค่ะ...55555...









ภาพนี้เห็นพ่อค้ากับตั้งหน้าตั้งตาปั้นทอดมันหัวปลีอย่างตั้งอกตั้งใจก้เลยขอแชะมาซะหน่อยเพราะยังเป็นวัยรุ่นอยู่ออกมาช่วยครอบครัวทำมาหากินแทนที่จะออกไปเที่ยวเตร่ เหมือนวัยรุ่นที่เห็นกันอยู่มากมายก็เกิดความภูมิใจแทน ส่วนหน้าตาของทอดมันหัวปลีเป็นอย่างไรก็รูปถัดมาค่ะ..น่าทานป่ะคะ ไม่ได้น่าทานอย่างเดียวต้องแถมอร่อยด้วยอันนี้รับประกันความอร่อยเลยล่ะส่วนสองรูปด้านล่างเป็นเครื่องเติมก๋วยเตี๋ยวที่แวะทานตอนเที่ยง คนแน่นแย่งกันหาที่ทานข้าวกัน ไม่มีทางเลือกต้องเข้าร้านนี้ระหว่างนั่งรอก๋วยเตี๋ยวสังเกตเห็นพวงใส่เครื่องเติม มีน้ำตาลเหลวๆ แทนที่น้ำตาลทราย เข้าใจคิดดีแต่รสชาติแปลกๆ ดี






ส่วนภาพนี้ชอบหัวคิดในการผลิตสินค้าออกมาขาย โดยใช้ของพื้นบ้านที่ไม่ได้ใช้ทำอะไร อย่างที่เห็นก็เป็นกะลามะพร้าวที่ใส่หัวคิดของคนประดิษฐ์มาเป็นผลิตภัณฑ์ที่ออกมาสวยงามน่ารักดีค่ะน่าอุดหนุนนะคะนั่น









สองภาพข้างบนเป็นขนมกระจุกกระจิกน่ารักๆ บรรจุใส่กล่องพลาสติกเล็กๆ แล้วนำมาบรรจุใส่ถุง 3 กล่อง 50 บาทรวมขนมหลายๆ อย่าง เช่น ขนมกลีบลำดวน วุ้นเคลือบน้ำตาล อาลัว กาละแม ขนมผิง อะไรแบบนี้ส่วนมากขนมพวกนี้ดูสวยงามน่าซื้อ และจะซื้อกันมาเป็นของฝากเพราะน่ารักดี แต่ถามว่าอร่อยมั๊ยชิมแล้วไม่อร่อยเลยค่ะ...บางอย่างมีกลิ่นแปลกๆ ด้วยซ้ำไปอาจเป็นเทียนอบที่กลิ่นแปลกๆ ไม่เหมือนที่เคยได้กลิ่นเพราะเคยทานขนมอบเทียนที่มีกลิ่นที่หอมกว่านี้ ก็เลยไม่รู้ว่ากลิ่นอะไรค่ะที่ทำให้ขนมมีกลิ่นแบบนี้ รู้แต่ว่าไม่ชอบเลย..ส่วนขนม 2 ภาพล่าง คือ กะลอจี้ ที่แม่เห็นปั๊บแวะซื้อเลยค่ะกระทงโฟมกระทงละ 10 บาทเป็นแป้งทอดแล้วนำมาโรยน้ำตาลกะงา อีกอันเป็นแพนเค๊กที่ทำเป็นรูปโดเรมอน อันนี้เจ้าตัวเล็กเค้าอยากได้ สั่งให้คนขายทำจมูกสีแดงด้วยแยมด้วยนะคะ..ขอทานบ้างเค้าจิกมาให้ชิมนิดเดียว จนถูกแม่เค้าดุเรื่องหวงของกินแต่เค้าก็ไม่ยอมให้อยู่ดี บอกทำไมไม่ซื้อกินเองอ่ะครับ.....ชิมเท่าที่เจ้าตัวน้อยให้มาก็อร่อยดีค่ะ หน้าตาก็น่ารักมิน่าเจ้าตัวน้อยหวงเหลือเกิน.









ระหว่างรอก๋วยเตี๋ยวหันไปหันมาเห็นฝั่งตรงข้ามหน้าร้านมีเจ้านี่แขวนอยู่ เห็นน่ารักดีก็เลยอดแชะเก็บไว้ไม่ได้..น่ารักมั๊ยคะ...







ไข่นกกระทาทอดค่ะเห็นใส่กระทงโฟมน่าทานดี เลยเก็บมาฝากค่ะ







ไหนๆ ก็มาตลาดน้ำอัมพวาแล้วถ้าไม่แวะไปที่อุทยาน ร.2 หรือที่เรียกอย่างเป็นทางการว่า "อุทยานพระบรมราชานุสรณ์ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย" ก็กระไรอยู่ ก็เลยเสียค่าเข้าไปดูคนละ 20 บาทสำหรับผู้ใหญ่และเด็กคนละ 5 บาท เข้าไปแล้วจะเห็นอาคารเรือนไทยสวยงามมากข้างหน้าจะเขียนว่า "พิพิธภัณฑ์พระพุทธเลิศหล้านภาลัย"









ขึ้นมาด้านบนจะเห็นบรรยากาศนี้ค่ะ ดูสงบร่มรื่นน่าอยู่น่านั่งและนอนมากค่ะเพราะในตัวเรือนแต่ละหลังที่เห็นจะมีเรือนชานให้ได้นั่งพักหลบแดดร้อนๆ กันค่ะ แต่ลองสังเกตนอกร่มดูสิคะ แดดส่องเปรี้ยงๆ เลยล่ะพื้นไม้จะร้อนจนเดินไม่ได้ ถ้าใครลองเดินตอนนี้ดูจะเหมือนเดินบนถ่านไฟเลยล่ะ...55555...ความจริงแล้วก่อนขึ้นบนบ้านเค้าให้ถอดรองเท้าก่อนขึ้น และเค้ามีรองเท้าแตะให้เปลี่ยนเพื่อใช้เดินบนบ้าน ตัวเองกะคนที่ไปด้วยทุกคนไม่มีใครรู้ ไม่มีใครเข้าใจอีกอย่างเค้าก็ไม่ได้เขียนบอกไว้ หรือเราไม่ได้สังเกต มีอยู่เรือนหนึ่ง รูปซ้ายบนนั่นล่ะ จะเห็นแดดส่องเปรี้ยงทางเดินเลย เห็นแค่นี้ล่ะค่ะวิ่งกันซะ..พอไปถึงอีกเรือนทุกคนที่วิ่งไปต้องสะบัดเท้าเร่าๆ เพราะเท้าแทบสุก ดูฝ่าเท้าแดงแจ๊ดแจ๋เลยค่ะ






ภาพนี้รวมภาพประตูหน้าต่างบ้านเรือนไทยซึ่งทำเป็นพิพิธภัณฑ์ซะให้พอแต่ละหน้าต่างจะเห็นบรรยากาศด้านนอกแตกต่างกันไปดูน่าสนใจดีค่ะ









เป็นภาพเครื่องเรือนเครื่องใช้ในบ้าน ที่หาดูได้ยากในปัจจุบันนี้ค่ะ









ภาพนี้ยืนมองนานมาก ไม่รู้ว่าเป็นอะไรค่ะ แต่เคยอ่านหนังสือเกี่ยวกับคนสมัยโบราณ เช่น สี่แผ่นดิน สายโลหิต กษัตริยา และเยอะแยะเกี่ยวกับเรื่องราวคนสมัยก่อนนี่ชอบมากๆ ค่ะชอบพวกโบราณคดีที่บอกเล่าเรื่องราวของอดีตที่ผ่านมามีหลายเล่มมากๆ รู้สึกว่าอาจเป็นที่รีดจับจีบสไบกะผ้ายกป่ะคะ ใครรู้บ้างช่วยเฉลยหน่อยค่ะ


อุทยานพระบรมราชานุสรณ์ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย แบ่งพื้นที่ออกเป็น 6 ส่วน คือ

ลานจอดรถหน้าอุทยาน เป็นที่ขายสินค้าพื้นเมืองและผลไม้ และจะมีอาศรมศึกษาซึ่งเป็นเรือนไทยโบราณ

โรงละครกลางแจ้ง จะเป็นสนามหญ้าและมีต้นไม้ร่มรื่น มีเนินลดหลั่นสำหรับนั่งชมการแสดง นั่งพักผ่อนใต้เงาไม้ และมีพันธุ์ไม้ต่างๆ มากมายให้เราได้เดินดู

อาคารทรงไทย 5 หลัง ก็คืออาคารที่ได้วางรูปไว้ในบล๊อกที่แล้ว ซึ่งเค้าจัดเป็นพิพิธภัณฑ์ 4 หลัง และอาคารซ้อมโขน ละครและเก็บเครื่องดนตรีไทย 1หลัง

สวนพันธุ์ไม้ในวรรณคดีนานาชนิด เพื่อประโยชน์แก่การศึกษาและอนุรักษ์พันธุ์ไม้ ซึ่งในเวปเค้าบอกว่ามีหุ่นจำลองเรื่องในวรรณคดี สังข์ทอง ไกรทอง แต่ตัวเองยังหาไม่เจอค่ะ

ส่วนพื้นที่ติดแม่น้ำ จะมีศาลาเอนกประสงค์สำหรับนั่งพักผ่อน มีร้านจำหน่ายอาหาร เครื่องดื่มและสินค้าพื้นเมือง มีเรือประพาสอุทยาน ประชาชนขึ้นชมได้ ใครจะเข้าห้องน้ำเข้าได้ที่นี่ค่ะ

ส่วนสุดท้าย คือ พื้นที่ 11 ไร่ ซึ่งจัดทำสวนและทำสวนเกษตรตามพระราชดำริในองค์ประธาน









อุทยานพระบรมราชานุสรณ์ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (อุทยาน ร.2) เป็นโครงการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ของมูลนิธิพระบรมราชานุสรณ์ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยในพระบรมราชูปถัมภ์ เพื่อเป็นการสนองพระมหากรุณาธิคุณ ที่ได้พระราชทาน ศิลปวัฒนธรรมอันงดงามไว้ เป็นมรดกแก่ชาติ จนได้รับยกย่องให้เป็นบุคคลสำคัญของโลกจาก องค์การศึกษาวิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) บริเวณที่ก่อสร้างอุทยานพระบรมราชานุสรณ์นี้ พระราชสมุทรเมธี เจ้าอาวาสวัดอัมพวันเจติยารามเป็นผู้น้อมเกล้าฯ ถวาย มีพื้นที่ประมาณ 11 ไร่ พื้นที่บริเวณนี้มีความสำคัญ เพราะเป็นสถานที่ พระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่ 2) โดยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีเสด็จพระราชดำเนินมาเปิดป้ายอุทยานเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2522 และเปิดให้ประชาชนเข้าชมภายในอุทยานได้เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2530









พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ลักษณะเป็นอาคารทรงไทย 4 หลัง จัดพิพิธภัณธ์แบบชาติพันธุ์วิทยา แสดงศิลปวัตถุในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ที่จะสะท้อนให้เห็นลักษณะศิลปวัฒนธรรม ความเป็นอยู่ และการดำรงชีวิตของชาวไทยในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย โดยแบ่งเป็นส่วนดังนี้









หอกลาง ภายในประดิษฐานพระบรมรูปรัชกาลที่ 2 และจัดแสดงศิลปโบราณวัตถุ สมัยต้นรัตนโกสินทร์ เช่น เครื่องเบญจรงค์ เครื่องถ้วย หัวโขน ซึ่งเป็นอุปกรณ์การแสดงนาฏกรรมตามบทวรรณคดีพระราชนิพนธ์ใน พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย หุ่นวรรณคดีเรื่องสังข์ทองและอิเหนา หนังใหญ่

ห้องชาย จัดแสดง ให้เห็นลักษณะความเป็นอยู่ของชายไทยที่มีความกล้าหาญ พร้อมในการอาสาปกป้องผืนแผ่นดินตามลักษณะสังคมไทยสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น มีพระพุทธรูปสำหรับบูชา สมุดไทย เสื้อขุนนางไทยโบราณ ดาบ โล่ รวมทั้งพระแท่นบรรทมซึ่งเชื่อว่าเป็นของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย









ห้องหญิง ตกแต่งให้เห็นลักษณะความเป็นอยู่ของหญิงไทยโบราณ มีเตียงนอน แบบไทย โต๊ะเครื่องแป้ง คันฉ่อง ฉากปัก เป็นต้น

ชานเรือน จัดแสดงตามแบบบ้านไทยโบราณ ตกแต่งด้วยกระถางไม้ดัด ไม้ประดับ

ห้องครัวและห้องน้ำ จัดแสดงลักษณะครัวไทยมีเครื่องหุงต้ม ถ้วยชามและห้องน้ำของชนชั้นกลาง








ตลอดแนวจะมีต้นไม้นานาพันธ์ให้เราได้ชมทั้งที่รู้จักและไม่รู้จัก บางต้นเป็นดอกไม้ที่หายากแต่ที่มีมีให้ดู ในภาพจะมีต้นยอที่กำลังออกลูกเต็มต้น ใบยอนี่ไงคะที่เค้านำไปรองห่อหมก และพุดเศรษฐีสยามนี่สำหรับตัวเองไม่เคยเห็นที่อื่นค่ะ...แปลกดีเพิ่งเคยรู้จักเนี่ยล่ะค่ะ








กลุ่มดอกบัวที่บานอยู่ในสระสวยดีนะคะเมื่อตัดกับใบสีเขียวอ่อน และมีดอกพุดเศรษฐีสยามที่ถ่ายแบบโพสใกล้ๆ ให้เห็นกันชัดๆ ส่วนอีกดอกหนึ่งที่เป็นสีม่วงนั้นไม่รู้จักค่ะ รู้แต่ว่าเป็นไม้เถาเลื้อย เป็นเถาวัลย์สวยงามดีค่ะ








ภาพแรกเป็นดอกบานไม่รู้โรย ถ้าเป็นภาคใต้เรียกว่าดอกกุนหยี ไม่เข้าใจความหมายเหมือนกันแต่รู้ว่าเค้าเรียกกันแบบนี้ในท้องที่นั้น ถัดมาด้านบนก็เป็นดอกลั่นทมที่เปลี่ยนชื่อให้เป็นมงคลว่า ดอกลีลาวดี ส่วนดอกด้านล่างซ้ายมือ คือดอกประดู่ป่า ไม่เคยเห็นที่ไหนเหมือนกันค่ะ ดอกแปลกดีสีเขียวตองอ่อน เหมือนใบเลยแต่ใบจะมีสีเขียวที่แก่กว่า ดอกด้านขวามือล่าง คือ ดอกบานบุรี ดอกสมบูรณ์มากค่ะ ดอกจะใหญ่กว่าที่อื่นนะ








สองภาพบนไม่รู้ดอกอะไรเหมือนกันค่ะ ใครรู้ก็กรุณาช่วยบอกด้วยค่ะ ส่วนดอกล่างซ้าย คือ ดอกอัญชันที่คนชอบเอาไปปลูกผม หรือปลูกคิ้วให้ขนคิ้วกับผมขึ้นดกดำค่ะ ส่วนดอกด้านล่างขวามือ คือ ดอกพวงชมพู ที่น่ารักน่าทะนุถนอมนะคะ..








ต้นอะไรไม่รู้ค่ะรู้แต่ว่าให้ร่มเงาทำให้พวกเราได้หลบความร้อนจากดวงอาทิตย์ได้ดีมากค่ะ ไหนๆ ก็อาศัยหลบใต้เงาแล้วก็เลยขอแชะมาเป็นที่ระลึกด้วยแล้วกันค่ะถ้าหากใครมีความรู้ว่าคือ ต้นอะไรก็บอกกันบ้างค่ะ...








สำหรับสี่ภาพนี้เป็นภาพกล้วยไม้ที่ปลูกฝากตามต้นไม้ที่ได้อาศัยร่มเงา มีกล้วยไม้ปลูกแซมทำให้สวยงามยิ่งขึ้นเวลาที่กล้วยไม้ออกดอกตามต้นค่ะภาพล่างจะเป็นไม้ดัด ที่เค้าดัดและตกแต่งเป็นรูปช้าง และไม่ได้มีตัวเดียวด้วย แต่มากันทั้งครอบครัว พ่อแม่ลูกเลยค่ะ และถ้ามองไกลๆ แล้วจะเห็นเจ้าตัวเล็กนั่งเดียวดายเล่นอะไรอยู่คนเดียว ความจริงแล้วเค้าวิ่งซนจนเหนื่อยแล้วเลยหมดแรงนั่งพักเหนื่อยอยู่อ่ะค่ะ








ต้นนี้ก็ไม่รู้อีกล่ะว่าต้นอะไร น่าเสียดายที่เค้าไม่ได้ติดป้ายทุกต้น ทำให้คนที่สนใจอย่างเรา ดูไปก็ไม่รู้ว่าคือต้นอะไรอยู่ดี แต่ที่รู้ถ่ายรูปออกมาแล้วสวยดีค่ะ








ภาพนี้เป็นภาพตู้อบกล้วยตากด้วยพลังแสงอาทิตย์ ตั้งอยู่โดดเดี่ยวอันเดียว ตอนแรกยืนมองแล้วสงสัยว่า คืออะไรกันนะเนี่ย หรือเค้าสร้างพลังงานเองเก็บแสงอาทิตย์ไว้ เลยเดินไปดูใกล้ๆ ถึงได้ข้อสรุปว่า...อ่อ..ตู้อบกล้วยตากนี่เอง....5555...


เผื่อมีใครสนใจที่จะไปเที่ยวที่นี่บ้าง ก็มีข้อมูลจาก : http://www.maeklongtoday.com, http://www.hamanan.com และ http://www.bansuanrak.com มาฝากดังนี้ค่ะ


รายละเอียดเกี่ยวกับอุทยาน ร. 2

ตั้งอยู่ที่ตำบลอัมพวา อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม เปิดให้เข้าชมทุกวัน เวลา 09.00 - 18.00 น. (อัตราค่าเข้าชม เด็ก 5 บาท ผู้ใหญ่ 20 บาท)
ส่วนพิพิธภัณฑ์เปิด เวลา 09.00 - 17.00 น.


รายละเอียดการเดินทาง

ถ้าเป็นรถยนต์ส่วนตัว จากกรุงเทพฯ ใช้ทางหลวงหมายเลข 35 ถนนพระราม 2 (ถนนธนบุรี-ปากท่อ เดิม) ไปถึงหลัก กม.ที่ 63 ชิดซ้ายใช้ทางคู่ขนานต่างระดับ เข้าตัวเมืองสมุทรสงครามผ่านตัวเมือง จากนั้นเข้าทางหลวงหมายเลข 325 (สมุทรสงคราม-บางแพ) ถึงสามแยกอัมพวาชิดซ้ายเข้าอัมพวา วิ่งตรงผ่านตลาดอัมพวา ข้ามสะพานคลองอัมพวา (สะพานเดชาดิศร) ตรงไปผ่านวัดอัมพวันฯ อุทยานอยู่ซ้ายมือ

หรือรถยนต์ ใช้ทางหลวงหมายเลข 35 (สายธนบุรี-ปากท่อ) ถึงกิโลเมตรที่ 63 เข้าตัวเมืองสมุทรสงคราม กิโลเมตรที่ 36-37 มีทางแยกซ้ายไปอุทยานฯ เข้าไปอีกประมาณ 1 กิโลเมตร

รถโดยสายประจำทาง ขึ้นรถได้ที่ตลาดเทศบาล อำเภอเมือง สายแม่กลอง-บางนกแขวก-ราชบุรี ลงหน้าอุทยาน ร.2

รถประจำทาง จากสถานีขนส่งสายใต้
รถสาย 996 กรุงเทฯ-ดำเนินฯ เป็นรถปรับอากาศ ผ่านจังหวัดจังหวัดสมุทรสงครามถึงตลาดอัมพวา เดินผ่านตลาด ผ่านวัดอัมพวันเจติยาราม ถึงอุทยาน

สาย 976 กทม.-สมุทรสงคราม ถึงสถานีขนส่งสมุทรสงคราม ขึ้นรถประจำทางสาย 333 แม่กลอง-อัมพวา-บางนกแขวก ผ่านหน้าอุทยาน



สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่โทร. 034-751666 ค่ะ




เพลง นางพญากับคนป่า
สเตท เอ็กซเพรส♪


ความรักรวมตัว วันใด

ดวงอาทิตย์ยิ่งใหญ่

ยังเล็กกว่าเสี้ยวธุลี

อาทิตย์สิ้นแสง ยามราตรี

แสงรักสว่างทุกที่ ไม่มีราตรีทิวา


เธอฉัน รวมกัน วันใด

รวมความรัก ยิ่งใหญ่

ใครเห็น จะต้อง ปรีดา

เธอสวย งามเหมือน นางพญา

ยอมรับรัก คนป่า น่าบูชา น้ำใจ


โอ้ความฝัน ไม่ใช่ความจริง

สายตา เธอกลิ้ง มองผ่าน ฉันไป

ฉันเหมือน ผ้าฝ้าย เธอผ่านไปมองผ้าไหม...

โลกนี้รักยิ่งใหญ่ จึงไม่เคยมี


ความรักรวมตัว วันใด

ดวงอาทิตย์ยิ่งใหญ่

ยังเล็กกว่าเสี้ยวธุลี

อาทิตย์สิ้นแสง ยามราตรี

แสงรักสว่างทุกที่ ไม่มีราตรีทิวา


เธอฉัน รวมกัน วันใด

รวมความรัก ยิ่งใหญ่

ใครเห็น จะต้อง ปรีดา

เธอสวย งามเหมือน นางพญา

ยอมรับรัก คนป่า น่าบูชา น้ำใจ


โอ้ความฝัน ไม่ใช่ความจริง

สายตา เธอกลิ้ง มองผ่าน ฉันไป

ฉันเหมือน ผ้าฝ้าย เธอผ่านไปมองผ้าไหม...

โลกนี้...รักยิ่งใหญ่ จึงไม่เคยมี












Counter
คนน่ารักเข้ามา
เริ่ม 20/3/52









Personlove