วันอาทิตย์, ตุลาคม 12, 2551

: มาแนวรักชาติเหมือนที่คนอื่นบอกว่ารัก...แต่รักชาติจริงๆถึงบ่น




เพลง: เติมใจให้กันศิลปิน:
ก้อง



ข้อคิดสำหรับคนไทยทุกคน


จงรักพระเจ้าอยู่หัวด้วยการกระทำไม่ใช่เพียงแค่ปาก
ร่วมกันทำความดีเพื่อพระเจ้าอยู่หัวของพวกเรา





สังคมไทยตอนนี้ได้กลายเป็นสังคมแตกแยกไปซะแล้ว...ทั้งที่เป็นคนไทยด้วยกัน ถ้านับญาติกันไปกันมาบางคนก็เกี่ยวพันกัน...แต่วันนี้กลับแบ่งกันด้วยสี สีนี้พวกเรา สีนั้นพวกเค้า...ในที่สุดก็ทะเลาะกัน..จนในที่สุดมีการตายเกิดขึ้น...นั่นเพราะคนเราไม่รู้จัก ละ ลด เลิก....ความเห็นแก่ตัว เห็นแก่พวกพ้อง เข้าข้างตัวเอง จนละเลยว่าในโลกนี้นอกจากมีตัวเองแล้วยังคนอื่นอาศัยร่วมโลกกับเราด้วย...




วันก่อนได้นั่งดูข่าวที่ หมอ โรงพยาบาลรัฐแห่งหนึ่งในเมืองหลวงของไทย กับนักบินผุ้หนึ่งที่ออกมาประกาศเจตนารมณ์ส่วนตัว ไม่รับรักษา และไม่ยอมให้ผู้โดยสารที่อยู่ในสังกัดที่ตนเองไม่ชอบขึ้นเครื่องที่ตัวเองขับ...เกิดอะไรขึ้นกับสังคม....จรรยาบรรณของอาชีพหายไปไหน...หายไปตั้งแต่เมื่อไร...

ตั้งแต่จำความได้ จำได้ว่า อาชีพหมอ ต้องมีจรรยาบรรณต่ออาชีพเป็นอย่างมากเป็นหลักสากลโลกเลยล่ะ ที่ต้องรับรักษาทุกคนไม่ว่าคนๆ นั้นจะเป็นใคร จะเป็นคนดี หรือฆาตกรฆ่าคนมาหลายร้อยศพ เมื่อมีการเจ็บป่วยและถึงมือหมอๆ ก็ต้องรักษาให้ แต่ถ้าอ้างสิทธิมั่วๆ แบบที่ รพ.รัฐ และ บ.การบิน แห่งนั้นกล่าวอ้างว่าเป็นสิทธิ์ของหมอ และนักบิน ที่จะเลือกปฏิบัติไม่รับรักษาคนที่หมอไม่อยากรักษา หรือ ไม่ขับเครื่องบินให้ผู้โดยสารที่นักบินไม่อยากให้ขึ้นนั้นเป็นสิทธิส่วนบุคคลที่หมอและนักบินพึงจะปฏิบัติได้....

แล้วจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง...ถ้าตำรวจเลือกปฏิบัติแบบเดียวที่ หมอ และ นักบินทำ แบบแกทำได้ฉันก็ทำได้ เพราะเป็นสิทธิ์ของฉันเช่นที่แกทำ....หรือ ข้าราชการที่แบ่งพรรคแบ่งพวก พวกเค้าพวกเรา เลือกปฏิบัติให้บริการเฉพาะพวกตัวเอง ถ้าเป็นพวกอื่นฉันไม่บริการให้หรอก...แล้วจะเกิดอะไรขึ้นคะ...ซึ่งเป็นทำนองเดียวกันเหมือนที่สีบางสีเรียกร้องแบบเอาสีข้างตัวเองเข้าถู ทุกอย่างตัวเองทำได้ พอคนอื่นหมดความอดทน อดกลั้น เบื่อหน่ายทำบ้าง ก็มีเรื่องมีราวกันจนถึงขั้นบาดเจ็บล้มตาย แล้วก็กล่าวโทษที่ปลายเหตุ ไม่มีใครพูดถึงต้นเหตุว่าถ้าไม่ชุมนุม ประท้วง ยึดโน่นยึดนี่ทำอะไรที่เกินกว่าเหตุ ซึ่งในความหมายของพวกตัวเองแล้วทำถูกเหตุ แต่ถ้าเป้นคนอื่นทำและทำแบบตัวเองนั้นกลับเรียกว่าเกินกว่าเหตุ...

ถ้าต่างคนต่างไม่คิดอะไรในแง่ตัวเอง...อยู่อย่างสงบ อย่างเข้าใจเค้าเข้าใจเรา ไม่ระรานกันและกัน ก็จะไม่เกิดเหตุการณ์ที่เลวร้ายขึ้นมา...เป็นงั้นไป....ผิดด้วยกันทั้งหมดล่ะ...ที่ทำให้ประเทศย่ำแย่ แต่สำหรับตัวเองขอบอกว่าคนที่ทำก่อน ถือเป็นการยั่วยุให้เกิดเหตุร้าย อาจสมใจอย่างที่ใจใครบางคนต้องการ แต่จงสงสารคนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่แล้วหลงไปกับวังวนที่ชักจูงชวนเชื่อ ฟังอะไรแบบใส่ความข้างเดียว ...โดยกล่าวอ้างว่าทำเพื่อประเทศ เพื่อชาติ เพื่อสิ่งที่คนไทยเทิดทูน ถ้ารักและเทิดทูนจริงๆ ก็ต้องอดทนให้ได้เพื่อสิ่งที่เรารักที่สุด....ว่าแต่ว่ารักจริงๆ เหรอที่ทำแบบนี้น่ะ...




ก็เลยมีเรื่องเล่าแบบอินเทรนด์ แต่อาจเก่าแล้วมาให้อ่านกันเป็นเรื่อง "ความรักจักเกื้อหนุน" ที่เล่าถึงหมอคนหนึ่ง หมอคนนี้กำลังประสบปัญหารุมเร้าหลายอย่าง ทั้งในครอบครัวและการทำงาน จนเกิดความท้อแท้เหนื่อยหน่าย วันหนึ่งหมอไปที่ตึกผู้ป่วยหญิงเพื่อเยี่ยมคนไข้มะเร็งผู้หนึ่งที่เขาเคยรักษา เมื่อเขาเข้าไปในห้องผู้ป่วย เขาได้เห็นภาพหญิงสาวกำลังนอนอย่างสงบ ที่ข้างเตียงมีแม่ของเธอ กุมมือและมองสบตากันอย่างเงียบ ๆ ไม่มีคำพูดใดๆ เขารู้สึกได้ถึงความรักและความเอื้ออาทรที่แม่ลูกสื่อถึงกัน

ขณะนั้นไม่เห็นร่องรอยความเจ็บป่วยจากโรค ทั้งที่ผู้ป่วยกำลังอยู่ในระยะสุดท้ายของชีวิต เธอไม่ได้ต้องการความช่วยเหลือใด ๆ จากหมอคน เธอไม่ต้องการยาหรือเคมีบำบัดใด ๆ เธอต้องการแค่ความรัก ความรักจากใจของแม่ อาการนิ่งสงบของสองแม่ลูกทำให้ความวุ่นวายสับสนปัญหาในใจของหมอ ที่ยืดเยื้อมานานหลายอาทิตย์สงบลงและทำให้เขารู้ว่า "คนเราไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่าความรักและความเอื้ออาทรจากคนใกล้ชิด โดยเฉพาะในวาระสุดท้ายของชีวิต ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าสายตาและสัมผัสที่เปี่ยมด้วยความรักจากคนรู้ใจ"

ความทุกข์ ความสับสนที่เกิดทั้งหมดที่เคยมี ที่เคยรู้สึกหนักอึ้งโปร่งเบาขึ้นมาทันที เป็นเพราะเขาได้คิดว่า "สิ่งที่ทำให้ทุกข์ ไม่ใช่สิ่งที่เป็นสาระสำคัญสำหรับชีวิตเลย ชื่อเสียง ความสำเร็จ หน้าตา เงินทอง และอะไรต่ออะไรอีกมากมาย หาใช่สิ่งที่คนเราต้องการในส่วนลึกของจิตใจ เมื่อถึงวาระสุดท้ายของชีวิตสิ่งต่างๆก็ไม่มีความหมายอะไรเลย เราต้องการแค่เพียง ความรัก ความเห็นอกเห็นใจ จากคนเพียงไม่กี่คนเท่านั้น"




ผู้คนส่วนใหญ่มักมองข้ามเรื่องธรรมดาที่ทุกคนมองเหมือนไม่มีค่า แล้วไปให้ความสำคัญกับสิ่งอื่นที่น่าตื่นตาตื่นใจ ความรักและความเอื้ออาทรเป็นสิ่งที่จำเป็น เป็นสิ่งที่สิ่งมีชีวิตขาดไม่ได้ แต่เป็นเพราะได้รับจากคนรอบตัวมาตั้งแต่เกิด เราถึงเห็นเป็นเรื่องธรรมดาที่ไร้ความสำคัญ และไม่สนใจทะนุถนอมความรักที่ได้มา ไม่คิดจะเพิ่มพูนให้ความรักมากขึ้น แต่ตรงกันข้ามกลับบั่นทอน ทำลาย ด้วยการแย่งชิง แข่งขัน ทะเลาะวิวาท หรือฉวยประโยชน์จากกันและกัน เพราะเห็นสิ่งอื่นสำคัญกว่า ผลก็คือ เมื่อวาระสุดท้ายของชีวิตมาถึง จึงไม่มีต้นทุนความรักหลงเหลือที่จะหล่อเลี้ยงจิตใจ กลับต้องอยู่และจากไปอย่างอ้างว้าง

คงไม่มีอะไรที่น่าเศร้าเท่ากับการแวดล้อมด้วยผู้คนแต่ไร้ความรัก จงให้สัมผัส ทุกความรักที่ได้รับล้วนมีค่าที่ควรรู้สึกซาบซึ้ง และอย่าลืมทะนุถนอมบ่มเพาะความรักให้เจริญงอกงาม ไม่ใช่แค่ใจของเราเท่านั้น แต่ควรเป็นใจของผู้ที่ให้ความรักแก่เราด้วย โดยให้ความไว้เนื้อเชื่อใจ และทำความดีตอบแทนกันจากสังคมบ้านซึ่งเป็นสังคมเล็ก แล้วขยายเป็นสังคมใหญ่จนถึงระดับประเทศ แต่สิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับสังคมทุกวันนี้ คือ การให้อภัยและความอดทนอดกลั้น ถนอมรักและรักษาสัมพันธภาพอันงดงามไว้ให้ยั่งยืน แล้วความรักก็จะเกื้อหนุนให้พวกเราทุกคนผ่านวิกฤตต่างๆ ไปได้...จงรักกันไว้เถิด พวกเราเป็นคนไทย รักชาติไทยด้วยกันทั้งสิ้นใช่มั๊ยคะ....

1 ความคิดเห็น:

  1. หุ หุ เราคนไทยด้วยกันถ้ายอมลด ยอมถอยกันคนละก้าว
    ค่อยๆพูดค่อยๆจากัน อะไรๆก็คงไม่บานปลายหรอกคับ
    คนชาติเดียวกันแท้ๆ น่าจะรักกันไว้ดีกว่า มีอะไรก็คุยกันดีๆก็ได้นี่นาเนอะ
    วิธีการสันติวิธีในการเจรจาเรียกร้องโดยไม่ก่อให้เกิดความรุนแรงมีตั้งเยอะแยะ
    คนชาติเดียวกันไม่รักกันไว้แล้วจะไปรักใครจริงมั้ยเอ่ย อิอิ
    รักน๊าตะเอง จุ๊บๆ คริ คริ

    ตอบลบ

ออกความเห็นสักนิดจะมีข้อคิดให้อ่านทุกว้นค่ะ

Personlove

วันที่เขียน