วันอาทิตย์, ตุลาคม 12, 2551

วันที่หก : เค้าว่ากันว่าถ้าเราคิดอะไรแบบเด็กๆ บ้างก็คงจะดีนะ


เพลง: ไกลเท่าเดิม ศิลปิน: ไฮดร้า











จากภาพข้างบน...อาจจะตัวเล็กไปหน่อย...เค้าบอกว่า....บางครั้งการมองโลกด้วยสายตาของเด็ก อะไรๆ ก็ง่ายขึ้น โฆษณาบางชิ้นจึงเรียบง่าย เหมือนการให้คำตอบเด็กสักคน เค้าไม่ต้องการคำตอบที่มีแง่มุมมากมาย แค่คำตอบง่ายๆ ที่ฟังแล้วเข้าใจเท่านั้นเป็นพอ หลายๆ ปัญหาที่พวกเรากำลังเผชิญ ซึ่งดูเหมือนจะกลายเป็นเรื่องที่ยากขึ้นด้วยวันเวลาที่บวกขึ้นตามวัยของคนเรา เมื่อเรายิ่งโตขึ้นปัญหาบางเรื่องเป็นปัญหาเดิมๆ .... แต่ทำไม เมื่อก่อนเรามองว่าเป็นเรื่องง่ายๆ เราน่าจะลองตัดสินปัญหา...หรือหาวิธีแก้แบบเด็กๆ ดูบ้าง เหมือนจะเบื่อ ก็เบื่อ...พอคิดว่าเบื่อก็นอน...พอตื่นขึ้นมาก็ลืม แล้วมาเล่นต่อได้โดยไม่คิดอะไร เวลาเด็กทะเลาะกัน...ก็ไม่เคยโกรธกันข้ามปี อย่างมากก็แค่ข้ามคืน...แล้ววันต่อมาก็จะมีใครสักคนมาขอคืนดี และไม่มีใครคิดว่าใครต้องเป็นฝ่ายผิดเริ่มก่อน....และไม่เคยมีใครมานั่งคิดว่าใครผิดใครถูก ขอเพียงแค่รู้สึกว่า...ยังอยากเป็นเพื่อนเล่นกับเขาอยู่ คนที่ถูกก็กล้าพอที่จะเดินไปพูดคุยกับคนผิดก่อน...โดยไม่รู้สึกเสียหน้า ทำไมเราไม่ทะเลาะกันให้เหมือนเด็ก...อะไรทำให้เราเปลี่ยนไป เรารู้จักคำว่า "ผิด" หรือ "ถูก" เมื่อโตขึ้นถูกสอนว่า "ผิด" ก็ต้องเป็นฝ่ายขอโทษเมื่อไม่ผิดก็ไม่ต้องสนใจ...มีคำว่า "ศักดิ์ศรี" ให้เราสะกดให้ถูก"คิด" ให้มาก เมื่อเผชิญกับปัญหา...เราใช้ความรู้ให้คำตอบ มากกว่าใช้หัวใจตัดสินแต่ทำไมผลลัพธ์ที่ได้...มันกลับทำให้เรานอนไม่หลับ..ตื่นมาก็ไม่ลืม ในขณะที่ถ้าเราเป็นเด็ก...เราเป็นฝ่ายถูก...แถมเราเป็นฝ่ายผูกมิตรก่อนเราแก้ปัญหาด้วยวิธีง่ายๆ ที่ผู้ใหญ่คงทำไม่ได้ แต่มันกลับทำให้นอนหลับสนิทจนถึงรุ่งเช้าและอาจจะฝันบ้าง แต่ก็เป็นความฝันที่ดีมีความสุข.....เราไม่ลองกลับไปเป็นเด็ก และแก้ปัญหาแบบเด็ก คิดแบบเด็กๆ ลดทิฐิ มานะลงบ้านเผื่อจะทำให้อะไรดีกว่านี้ก็ได้ค่ะ (วกอีกแล้ว 5555555)






และมีนิทานอีกเรื่องที่เกี่ยวกับเด็ก ที่น่าอ่านอีกเรื่องหนึ่ง ลองอ่านดูนะคะ




คุณครูในโรงเรียนสอนเด็กอนุบาลแห่งหนึ่งตัดสินใจที่จะให้เด็กนักเรียนในชั้นของเธอเล่นเกมได้ ดังนั้นเธอจึงบอกให้เด็กนักเรียนแต่ละคนในชั้นนำมันฝรั่งใส่ถุงพลาสติกมาจำนวนหนึ่ง บนมันฝรั่งแต่ละหัวให้เขียนชื่อคนที่รังเกียจไว้ ดังนั้นจำนวนหัวมันฝรั่งที่เด็กนักเรียนใส่ไว้ในถุงของเขาจะขึ้นกับจำนวนคนที่เขารังเกียจไม่ชอบ



และเมื่อถึงวันกำหนด เด็กๆ ทุกคนก็นำฝรั่งที่มีชื่อคนที่เขารังเกียจติดตัวมา บางคนมีมัน 2 หัว บางคนมีมัน 3 หัว ในขณะที่บางคนมีถึง 5 หัว จากนั้นคุณครูได้สั่งให้เด็กนักเรียนนำมันฝรั่งของตนเองใส่ถุงถือติดตัวไปทุกๆ แห่ง (แม้กระทั่งเข้าห้องน้ำ) เป็นระยะเวลา 1 อาทิตย์
หลังจากที่หลายๆ วันผ่านไป พวกเด็กนักเรียนก็เริ่มบ่นถึงกลิ่นที่ไม่สู้จะดีที่ออกมาจากมันฝรั่งซึ่งเริ่มจะเน่า นอกจากนั้นเด็กที่มีมันฝรั่ง 5 หัวก็ยิ่งบ่นที่ต้องถือถุงหนักกว่าคนอื่น เมื่อเวลา 1 อาทิตย์สิ้นสุดลง พวกเด็กนักเรียนจึงได้รู้สึกปลดปล่อยเพราะเกมได้จบลงแล้ว






คุณครูถามว่า “พวกเธอรู้สึกอย่างไรกับการที่ต้องถือมันฝรั่งติดตัวอยู่ 1 อาทิตย์” พวกเด็กนักเรียนจึงระบายความหงุดหงิดไม่พอใจออกมา และบ่นถึงความลำบากที่พวกเขาต้องเจอจากการที่ต้องถือถุงมันฝรั่งที่ทั้งหนักและส่งกลิ่นเน่าเหม็น หลังจากนั้นคุณครูจึงได้อธิบายให้พวกเด็กได้ทราบถึงความหมายแท้จริงที่ซ่อนอยู่ในเกม คุณครูกล่าวว่า “นี่เป็นเหมือนกับสถานการณ์จริงๆ เมื่อเราต้องแบก เก็บความเกลียดชังผู้อื่นไว้ในใจ มลพิษของความเกลียดชังจะกัดกร่อนใจของเรา และติดไปกับตัวเราในทุกๆ ที่ที่เราไป ถ้าขนาดที่เรายังทนไม่ได้กับกลิ่นเน่าเหม็นของมันฝรั่งในช่วง 1 อาทิตย์ ลองคิดดูว่ามันจะเป็นเช่นไร ถ้าเราแบกเก็บความเกลียดชังไว้ในใจตลอดชั่วชีวิต ?”





คติสอนใจจากนิทานเรื่องนี้ คือ


โยนทิ้งความเกลียดชังผู้อื่นออกไปจากใจของคุณ เพื่อที่ว่าคุณจะได้ไม่ต้องแบกรับบาปนี้ไปชั่วชีวิต ให้อภัยผู้อื่นถือเป็นทัศนคติที่ดีที่สุดที่ควรยึดถือไว้ รักชื่นชมผู้อื่นแม้ว่าคุณจะไม่ชอบพวกเขา ความรักที่แท้จริงนั้นไม่ใช่การรักชอบบุคคลที่สมบูรณ์แบบยิ่งกว่าสมบูรณ์แบบ แต่เป็นการรักชอบชื่นชมบุคคลที่ไม่สมบูรณ์แบบให้สมบูรณ์มากๆ

ลองคิดแบบเด็กบ้าง...มีการอภัยทั้งที่ไม่รู้ว่านี่คือการให้อภัย ก็คือลืมเรื่องราวทุกอย่างที่เคยเกิดเหมือนเด็กๆ ที่พอผ่านคืนนั้นไป ตื่นมาก็ลืมทุกเรื่องราว เล่นกันได้ใหม่โดยไม่โกรธกัน ไม่หาเรื่องกัน....ถ้าผู้ใหญ่ที่ทำเรื่องราวทั้งหลายลองอ่านนิทานและเรื่องราวคิดแบบเด็กบ้างก็คงจะดีนะคะ...แค่หวังไว้เท่านั้นเองค่ะ




6 ความคิดเห็น:

  1. แวะมาทักทายครับผม

    เดี๋ยวไซจะแอดลิ้งค์ไว้ใน Blog นะคร๊าบ

    คุณ personlove


    (<^___^>)

    ตอบลบ
  2. ดีใจที่คุณกลับมา (^_______________^))

    ตอบลบ
  3. หุ หุ อ่านแล้วนึกถึงตอนเด็กเลยคับ
    ทะเลาะกะเพื่อนชกกันตาเขียว แก้มปูด โป้งกันไปวันนึง
    พอวันต่อมาก็เล่นกันใหม่ละ โดยไม่มีใครขอโทษ
    เหมือนรักแรกทุบ ต้องตีกันก่อนถึงจะรู้จักกันดี อิอิ
    เพราะถึงจะโกรธแต่ตอนที่ได้เล่นด้วยกันมันก็หนุกดี

    ถ้าผู้ใหญ่เป็นแบบนี้บ้างก็ดีคับ ผิดใจกันก็มานั่งทะเลาะเถียงๆๆๆกันไป
    พอหมดแรงก็ลืมๆไปซะมาดีกันใหม่ ผิดใจกันเมื่อไหร่ก็เถียงกันต่อ เหอๆ
    ไม่ต้องลงมือลงไม้ ลงแค่ปาก เจรจาหาเหตุผลคัดง้างกันไปตามเรื่อง
    รักกันไว้เถิด เราเกิดร่วมแดนไทย ลั้นลา....
    เค้ารักตะเองน๊า ^^

    ตอบลบ
  4. แวะมาทักทายคะ

    รบกวนช่วยแนะนำเราหน่อยได้ไหมคะ

    อยากจะลงรูปใน blog บ้างจัง

    เอม

    ตอบลบ
  5. สวัสดีครับ หายไปนานอยากบอกว่าคิดถึงเมิ่กๆครับผม
    ขออนุญาติเดา นี่พี่จริงใจป่ะคร้าบบบบ
    มามะ กอดสามที^^

    ตอบลบ
  6. ดีนะคะพี่จริงใจ

    คิดถึงพี่จริงใจเหมือนกันหล่ะ

    แหม

    ยังไม่เปลี่ยนเลยนะคะ
    กินปาท่องโก๋กะน้ำเต้าหู้แล้วคิดถึงหนุเนี๊ยยยยยยยยยย

    ตอบลบ

ออกความเห็นสักนิดจะมีข้อคิดให้อ่านทุกว้นค่ะ

Personlove

วันที่เขียน