วันศุกร์, เมษายน 24, 2552

คำว่า "เพื่อน"

ทำงานหนักอ่านแล้วจะหนาว






ถ้าหนังไทยตั้งชื่อสไตล์เกาหลี












หมาน่ารัก




















แม่นมากใครอยากรู้ต้องอ่านเอง






ชีวิตคนเรามีแค่นี้เองเหรอ

























ยังเหนื่อยกับการออกไปทำงานต่างจังหวัด และยังไม่มีอารมณ์เขียนบันทึกให้คนดีและตัวเองอ่าน อีกอย่างพักนี้ไม่รู้ทำไม พอเข้ามาอ่านบล๊อก ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว อ่านของคุณกี้ได้บล๊อกเดียว และไปอ่านที่เวปอื่นได้ไม่กี่บล๊อกก็เริ่มรู้สึกง่วงอยากจะนอนมากกว่ามานั่งตรากตรำเขียนบล๊อก ทั้งที่อยากเขียนจดบันทึกสิ่งที่ทำในชีวิตประจำวัน ที่ได้ออกไปทำงานในช่วงเวลาที่หายไป กลางวันก็ไม่มีโอกาสได้เข้ามาเล่น ต้องทำงานกับภาระกิจที่ได้รับมอบหมายมาให้เสร็จสิ้น เดือนนี้เดือนหน้าก็ยังไม่ว่าง คงต้องลุยงานหนักต่อไปและต้องออกต่างจังหวัดอีกประปราย ทั้งต้องจัดประชุมในส่วนกลางและ จ.ใกล้เคียง กทม.

ไปเจอนิทานชาดก ที่อ่านดูแล้วดูเข้ากับเหตุการณ์ในปัจจุบัน ที่ผู้คนในตอนนี้ต่างมีทิฏฐิต่อกัน แบ่งพรรคแบ่งพวกแบ่งสีสรรออกไป ทั้งที่เป็นคนไทยเหมือนกัน เรื่องนี้พูดกันยาก เป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจถ้าหากเกิดทิฏฐิและอคติต่อกัน เรื่องบางเรื่องไม่ใช่เรื่องก็เป็นเรื่อง เรื่องบางเรื่องไม่มีสาระอะไรก็เก็บมาเป็นสาระกันได้...นั่นเพราะคนเราต่างจิตต่างใจต่างความคิด...แต่ทุกความคิดไม่น่าจะมีใครคิดถูกหรือผิด เพราะทุกความคิดมีสิทธิ์จะคิดเห็นกันได้และเราก็ควรเคารพสิทธิ์ในความคิดเห็นของทุกคน โดยเฉพาะถ้าคนๆ นั้น คือ เพื่อนคนหนึ่ง คำว่า "เพื่อน" ยิ่งใหญ่เกินที่จะมาทำลายกับสิ่งเล็กน้อยที่ไม่ใช่เรื่อง...นิทานชาดกเรื่องนี้จึงถือว่าเป็นนิทานชาดกที่ดีเรื่องหนึ่งและทรงคุณค่ามาตลอด...

มาลุตชาดก
คือ ชาดก ว่าด้วยการถือความคิดเห็นของตนเป็นใหญ่



นานมาแล้ว ในถ้ำเชิงเขาแห่งหนึ่งเป็นที่อาศัยของราชสีห์กับเสือโคร่ง

ทั้งสองอยู่ถ้ำเดียวกัน ด้วยความผาสุกตลอดมา



ตามปกติ ราชสีห์ชอบออกหากินในคืนเดือนหงาย




ครั้งตกดึกลมแรงก็เกิดหนาวสั่นจึงหลงเข้าใจว่าอากาศหนาวเพราะคืนข้างขึ้น


ส่วนเสือโคร่งชอบออกล่าเหยื่อในคืนเดือนมืด



พอลมพัดมาแรงจัด ก็รู้สึกหนาวจึงทักเอาว่าอากาศหนาวเพราะข้างแรม



อยู่มาวันหนึ่ง สัตว์ทั้งสองสนทนากันถึงเรื่องลมฟ้าอากาศ เสือโคร่งได้พูดขึ้นว่า



เมื่อราชสีห์ได้ฟังดังนั้น จึงแย้งกลับ



ฝ่ายเสือโคร่งก็กลับแย้งว่า






แต่ราชสีห์ค้านว่า



ทั้งเสือโคร่งและราชสีห์ต่างแผดเสียงเถียงกันลั่นป่า



เมื่อหาข้อยุติไม่ได้ ทั้งสองจึงชวนกันไปหาฤาษี
ซึ่งบำเพ็ญตบะอยู่ ณ เชิงขาแห่งนั้น








เมื่อสัตว์ทั้งสองไปถึงจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ท่านฟัง







เมื่อพระฤาษีได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดแล้ว



จึงได้อธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับข้างขึ้นและข้างแรมแก่สัตว์ทั้งสองว่า












เมื่อราชสีห์และเสือโคร่งทราบความจริงจากพระฤาษีแล้วก็หมดทิฏฐิ
เดินกลับถ้ำที่อยู่ของตนด้วยความสุขใจ ...............




จบ


มาลุตชาดก

:: สาเหตุที่ตรัสชาดก ::



......ครั้งหนึ่งในสมัยพุทธกาล มีพระหลวงตาสองรูปชื่อ พระกาฬะ และพระชุณหะทั้งสองรูปตั้งใจปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัดอยู่ในป่าแห่งหนึ่งในเขตชนบท แคว้นโกศล อย่างไรก็ดี พระทั้งสองรูปยังติดนิสัยตั้งแต่สมัยเป็นฆราวาสมาคนละอย่างคือ พระชุณหะชมชอบความงามของพระจันทร์เต็มดวงข้างขึ้นส่วนพระกาฬะชอบมองหมู่ดาวที่ส่องแสงระยิบระยับจับตาในคืนข้างแรม

.....วันหนึ่ง พระหลวงตาทั้งสองได้มาพบปะสนทนากันถึงเรื่องลมฟ้าอากาศ พระชุณหะจึงถามพระกาฬะขึ้นว่า " ท่านรู้หรือไม่ว่า คืนไหนอากาศจะหนาวจัด ?" พระกาฬะตอบทันทีว่า " คืนข้างแรมสิ! เราสังเกตมานานแล้ว พบว่าถ้าคืนไหนเป็นคืนข้างแรม คืนนั้นอากาศจะหนาวจัดทุกที " พระชุณหะได้ฟังดังนั้นจึงแย้งว่า" เราก็อยู่ป่ามานาน แต่สังเกตเห็นว่า อากาศหนาวจัดในคืนข้างขึ้นต่างหาก "

.....หลวงตาทั้งสองโต้เถียงกันด้วยเรื่องนี้เป็นเวลานาน แต่ไม่อาจจะหาข้อยุติได้ในที่สุดจึงชวนกันออกเดินทางไปเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อให้พระพุทธองค์ตัดสินให้

.....พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงดำริว่า พระภิกษุสองรูปนี้อุตส่าห์เดินทางไกลเป็นเวลาแรมเดือนข้ามเขตแดนชนบทน้อยใหญ่มายังนครสาวัตถี เพียงเพื่อให้พระองค์ตัดสินปัญหาอันไม่เป็นสาระ ด้วยต่างฝ่ายต่างถือทิฐิมานะเข้าหากัน หลงยึดมั่นแต่ความคิดเห็นของตนโดยไม่พิจารณาถึงสาเหตุที่แท้จริง เช่นนี้จึงทรงระลึกชาติด้วยบุพเพนิวาสานุสติญาณ แล้วตรัสว่า

....." ดูก่อนภิกษุ เมื่อชาติก่อนโน้น เราก็ตอบปัญหานี้แก่เธอทั้งสองแล้วแต่เธอจำไม่ได้จึงต้องย้อนมาถามปัญหาเดิมซ้ำอีก " พระหลวงตาทั้งสองรู้สึกแปลกใจ จึงกราบทูลอาราธนาให้พระพุทธองค์ทรงเล่าเรื่องราวในอดีตชาติของตนให้ฟัง พระพุทธองค์จึงทรงแสดง มาลุตชาดก


:: ข้อคิดจากชาดก ::

เมื่อมีปัญหาหรือข้อขัดแย้งใด ๆ เกิดขึ้น ควรพิจารณาดังนี้

๑. ตรวจสอบข้อเท็จจริงให้ดีก่อน โดยไตร่ตรองว่าอะไรเป็นเหตุ อะไรเป็นผล เพื่อประกอบการพิจารณา

๒. ฟังทั้งข้อเสนอของอีกฝ่ายหนึ่ง ไม่ถือทิฏฐิมานะ เอาแต่ใจตนเองเป็นใหญ่

๓. พูดให้ไพเราะที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อมิให้อีกฝ่ายมีทิฏฐิมานะมากขึ้น หากยังหาข้อยุติไม่ได้ ควรให้ผู้รู้จริงช่วยตัดสิน



ไม่มีใครชอบความทุกข์ เพราะความสุขทำให้คนรู้สึกดี แต่ในโลกนี้ไม่มีใครที่จะไม่มีความทุกข์ เพราะเมื่อคนเรามีความสุข ความทุกข์ก็ย่อมเกิดขึ้นได้ เมื่อใดที่มีความสุขขอให้คิดไว้เสมอว่า มีสุขได้ก็มีทุกข์ได้จะได้ไม่หยิ่ง ลำพองทะนงตัวเอง เพราะในโลกนี้ล้วนเป็นวัฏจักรของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม จะยากดีมีจนเป็นยาจกหรือเศรษฐีย่อมมีทุกข์และสุขได้กันทุกคนล่ะ

ความทุกข์เมือเกิดขึ้นกับใคร ใจของคนที่มีความทุกข์ จะเศร้าหม่นหมองขาดความสุข บางคนถึงขนาดไม่อยากมีชีวิตอยู่เลยก็มี บางคนทุกข์บางเบา เล็กน้อย บางคนทุกข์เรื่องเดียวไม่พอ ยังมีความทุกข์ซ้ำซ้อนหลายๆ เรื่องเข้ามาในคราวเดียวกัน แต่ไม่ว่าจะทุกข์กาย หรือ ใจ ขอให้จำไว้ว่าในความทุกข์ที่เกิดก็มีส่วนดีเช่นกัน ดังนี้


เกิดความรู้สึกเจียมเนื้อเจียมตัว ทำให้รู้ว่าความรู้สึกตอนที่เกิดความทุกข์เป็นเช่นไร และบางคนอาจคิดได้ว่า ถึงจะยิ่งใหญ่ขนาดไหนก็ไม่มีใครพ้นความทุกข์ได้ ทำให้เกิดความรู้สึกเจียมเนื้อเจียมตัวตามมา

เกิดความรู้สึกสำนึกถึงการถ่อมตัว ไม่หยิ่งผยองและก้าวร้าว อวดดีกับผู้อื่น

เกิดสติ รู้ตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่ และเป็นอะไรอยู่ ขณะที่เกิดทุกข์นี้เพราะอะไร ทำถูกหรือทำผิด มีสติคิดแก้ไขสิ่งผิดให้ถูกต้อง และรู้ว่าควรมีสติอยู่ตลอดเวลา รู้ว่าสิ่งที่เกิดก็เพราะขาดสติหลงระเริงไปกับอารมณ์ที่ชอบหรือไม่ชอบ ปล่อยตัวปล่อยใจไปตามความต้องการพื้นฐานของชีวิต หรือกระแสสังคมวัตถุนิยม

เกิดการมองเห็นธรรม คนที่เคยหลงมัวเมากับชีวิตหรือกิเลสรูปแบบต่าง ๆ ในข้อนึ้จะรู้ดีว่า ความหลงทำให้คนเราหยิ่งผยอง พอเกิดความทุกข์บางคนแทบเอาตัวไม่รอดคิดฆ่าตัวตายก็มี บางคนหมดตัวความทุกข์จึงทำให้คนมองเห็นความจริงของโลก และทำให้หลายคนมุ่งหน้าเข้าหาธรรมปฏิบัติธรรม เหมือนคนที่ตายแล้วเกิดใหม่เพราะธรรมทำให้คนเราเห็นความจริงของโลก

เกิดความรู้สึกได้รู้ว่าระหว่างความสุขกับความทุกข์เป็นอย่างไร โดยเฉพาะที่เคยได้รับแต่ความสุขไม่เคยสัมผัสว่าความทุกข์เป็นเช่นไร ยิ่งย่อมเห็นอย่างชัดเจนขึ้นเพราะได้เปรียบเทียบกับความทุกข์ที่กำลังได้รับอยู่

เกิดความรู้สึกว่า มิตรแท้ กับมิตรเทียมเป็นเช่นไร ถ้าใครไม่เกิดความทุกข์ก็ย่อมไม่มีวันได้เจอมิตรแท้เด็ดขาด ดังคำที่ว่าเพื่อนกินสิ้นทรัพย์แล้วแหนงหนี เพื่อนตายหน่ายแทนชีเพื่อนใช่ และมิตรแท้ในยามที่มีความทุกข์ จะเป็นมิตรที่ยืนยาวและถาวร ผูกพันเห็นอกเห็นใจกันตลอดไป จะมองเห็นเพื่อนที่ชอบเหยียบย่ำซ้ำเติม นอกจากไม่ช่วยเหลือแล้วยังสมน้ำหน้า ดีใจ ก็ทำให้รับรู้เพื่อนชนิดนี้

เกิดภูมิคุ้มกันชีวิต มองเห็นความเป็นจริงของชีวิต เกิดการยอมรับ รู้ว่าในความทุกข์ก็ยังมึสิ่งที่ดี ความทุกข์ไม่ได้โหดร้ายอย่างที่คิดไว้ เมื่อเกิดความทุกข์ครั้งต่อไป จะเข้าใจ ยอมรับ อดทน อดกลั้น และผ่านทุกข์ไปได้โดยไม่ทุกข์มากเพราะเคยทุกข์ยิ่งกว่านี้มาแล้ว

ความทุกข์แต่ละคนจะไม่เหมือนกัน ต่างกันตรง เหตุการณ์ สถานการณ์ที่เกิดขึ้น ทุกข์ของแต่ละคนจึงไม่เท่ากัน คนที่สุขตลอดมาถ้าพบความทุกข์จะทุกข์มากกว่าคนอื่น ๆ

จึงควรพบความผิดหวังและความทุกข์บ้างเพื่อจะได้เป็นเกราะป้องกันตัว คนที่เป็นพ่อเป็นแม่หรือญาติพี่น้องไม่ควรช่วยเหลือหรือคาดหวังกับคนในครอบครัวหรือใครคนหนึ่งมากนัก เพราะความคาดหวังถ้าหากไม่เป็นอย่างที่หวัง จะเกิดโทษตามมา หรือจะทุกข์จนทนไม่ได้จึงมีคำสอนให้อะไรให้พอดีอย่าให้มากหรือน้อยเกินไป ให้เดินสายกลางให้มากที่สุดคนเราถ้าอยู่ดีเกินไป อยู่ด้วยความสบายมากนัก ก็จะติดความสบาย อ่อนแอ ไม่มีวินัยในตัวเอง ทำอะไรไม่เป็น ช่วยตัวเองได้ลำบากหรือถ้าคนเราอยู่ดีกินดีมากไป ก็จะเป็นโรคอ้วนหรือโรคอื่น ๆ ได้ ควรจะอดบ้าง พบความผิดหวังบ้าง รู้จักการรอคอยหรือเสียสละบ้าง

ทุกคนที่ผ่านความทุกข์ที่เกิดขึ้นในชีวิตได้แล้ว ชีวิตต่อไปก็จะเหมือนเมล็ดพันธุ์พืชชั้นดีที่มีความแกร่ง เหมาะจะปลูกลงในผืนดิน โดยมีกำลังใจที่ดีเปรียบเหมือนดินที่ได้น้ำและปุ๋ยที่ดี เมื่อนั้นเมล็ดพืชของชีวิตที่ดีก็จะงอกงามเติบโตเกิดเป็นร่มเงาออกดอกผลและกระจายเมล็ดพืชพันธุ์ที่ดีต่อไปในสังคมเป็นสิ่งที่ชีวิตของทุกคนทำได้ไม่ยากนักใช่ป่ะคะ






ขอพระองค์ทรงพระเจริญ











Counter
คนน่ารักเข้ามา
เริ่ม 20/3/52

something about us

It might not be the right time
I might not be the right one
But there's something about us I want to say
Cause there's something between us anyway

I might not be the right one
It might not be the right time
But there's something about us I've got to do
Some kind of secret I will share with you

I need you more than anything in my life
I want you more than anything in my life
I'll miss you more than anyone in my life
I love you more than anyone in my life


4 ความคิดเห็น:

  1. อ่านนิทานเพลินเลยค่ะ

    แถมมีข้อคิดดีๆ อีกตังหาก ^^

    ตอบลบ
  2. จะลองเอาไปปฏิบัติตามใชในชีวิตประจำวันนะค่ะพี่จริงใจ

    แนวคิดดีๆ น่าสนใจเฮ้อ

    ตอบลบ
  3. ใครๆก็ต้องคิดว่าตัวเองถูกอยู่แล้ว
    หายากที่จะมีใครที่ยอมรับ และฟัง
    ความคิดเห็นของคนอื่นบ้าง

    ตอบลบ
  4. ต้องหันหน้าเข้าหากันเนอะ ต้องคิดถึงใจเขาใจเรา ค่อยพูดค่อยจากัน อิอิ
    คิดถึงจังเลยคับ จุ๊บๆๆๆ

    ตอบลบ

ออกความเห็นสักนิดจะมีข้อคิดให้อ่านทุกว้นค่ะ

Personlove